จับตาตลาดหุ้นครึ่งหลังปี 2567 ในครั้งนี้ “Thairath Money” รวบรวมความเห็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ส่องแนวโน้มตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลัง โดยส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า เศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดและมีแนวโน้มขยายตัวขึ้น ขณะเดียวกันเตรียมรับปัจจัยหนุนอีกมาก อย่างการลดดอกเบี้ย การเบิกจ่ายภาครัฐ การบริโภค และการท่องเที่ยว
จากข้อมูลของ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) พบว่า ผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 24 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในครึ่งปีหลังของปี 2567 นักวิเคราะห์ฯ คาดผลประกอบการบริษัทจดทะเบียจะออกมาดี ขณะที่ดอกเบี้ยโลกลดจะเป็นปัจจัยหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีอยู่ที่ 1,462 จุด
วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นกับ “Thairath Money” ว่า สำหรับเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยให้ไว้ที่ 1,450 จุด โดยเศรษฐกิจไทยคาดว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงไตรมาส 1/67 และหลังจากนี้มีแนวโน้มจะค่อยๆ ขยายตัวมากขึ้นกว่าช่วงไตรมาสแรก โดยในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยรับแรงกดดันจากการลงทุนภาครัฐด้วยงบประมาณที่เบิกจ่ายล่าช้า
อย่างไรก็ตามในเดือน พ.ค. การเบิกจ่ายภาครัฐกลับมาขยายตัวมากถึง 120% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และน่าจะขยายตัวต่อเนื่องหลังจากนี้ ประกอบกับจะเห็นการเร่งตัวทั้งการบริโภคและท่องเที่ยวในช่วงไตรมาส 4/67 ตามปัจจัยฤดูกาล โดยยังมีปัจจัยบวกเกี่ยวกับกองทุน TESG และการใช้มาตรการ Uptick
ส่วนปัจจัยเสี่ยงของตลาดหุ้นไทย คือ ประเด็นทางการเมือง โดยเฉพาะการพิจารณาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ “เศรษฐา ทวีสิน” รวมไปถึงการเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน หากต่ำกว่าคาดการณ์
นอกจากนี้ยังแนะนำ “ทยอยสะสมหุ้น” เพราะปัจจุบันมีระดับ Valuation ที่น่าสนใจ และคาดหวังการฟื้นตัวในช่วงถัดไปของดัชนี เน้นที่หุ้นกลุ่มค้าปลีก ได้แก่ CPALL, DOHOME, HMPRO กลุ่มศูนย์การค้า ได้แก่ CPN กลุ่มท่องเที่ยว ได้แก่ AOT และกลุ่มโรงแรม ได้แก่ CENTEL
ด้าน ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จํากัด กล่าวว่า มองการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีที่ 1,240-1,430 จุด มองตลาดหุ้นไทยเป็น K shape และเป็น sector selection โดยตลาดหุ้นในไตรมาส 3/67 จะถูกขับเคลื่อนโดยนักลงทุนสถาบัน จากเม็ดเงินกองทุน TESG
ขณะเดียวกันคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% หรือคงดอกเบี้ย และคาดการณ์คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยทั้งปี
ดังนั้น นักลงทุนต่างชาติอาจจะเริ่มสนใจหุ้นไทยเมื่อส่วนต่างอัตราผลตอบแทน (Earning yield gap) ของตลาดหุ้นไทยเมื่อเปรียบเทียบกับพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) 10 ปี ของสหรัฐฯ อยู่ที่ค่าเฉลี่ย 3.24% หรือระดับดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ 1,250 จุด จะมีกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนไหลเข้าในปลายไตรมาส 4/67 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่มธนาคารที่มีปันผลสูง
ทั้งนี้ แนะนำให้ลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เน้นการขยายตัวของกำไร คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, กลุ่มอาหาร, กลุ่มโทรคมนาคม, กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มโรงพยาบาล นอกจากนี้ แนะนำลงทุนหุ้นที่มีโอกาสเติบโต ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และอิงกับเม็ดเงินของกองทุน TESG ได้แก่ GPSC, BGRIM, KTB และ SCB เป็นต้น
ด้าน สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับตลาดหุ้นไทยประเมินเป้าหมายดัชนีอยู่ที่ 1,500 จุด โดยไตรมาส 3/67 จะมีการเปลี่ยนกลุ่มจากการลงทุนหุ้นเติบโตไปยังหุ้นคุณค่าและหุ้นวัฏจักร ไม่รวมกลุ่มเทคโนโลยี เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกช่วยให้ความเชื่อมั่นปรับตัวดีขึ้น แม้ตลาดหุ้นไทยยังคงถูกลดน้ำหนักการลงทุน (underweight) แต่แนวโน้มผลประกอบการที่จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ ความตึงเครียดทางการเมืองที่คลี่คลายลง และการเบิกจ่ายของภาครัฐที่เร่งตัวขึ้น จะเป็นปัจจัยสนับสนุนด้านปัจจัยพื้นฐานทำให้ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ลดช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างตลาดที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุด (ไต้หวัน, อินเดีย) และแย่ที่สุด (ไทย, อินโดนีเซีย) ในไตรมาสที่ 3/67
นอกจากนี้ แนะนำรอซื้อที่ระดับต่ำกว่า 1,300 จุด ชี้เป้าหุ้นเด่นไตรมาส 3 เน้นโฟกัสบริษัทที่ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมากกว่าที่จะขึ้นอยู่กับแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศที่ไม่แน่นอน ได้แก่ ADVANC, KCE, OSP, PTTGC และ TU.
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้