เครือสหพัฒน์ จัดนำงานพบนักวิเคราะห์และนักลงทุน ครั้งที่ 13 ปี 2567 โดยบริษัทในกลุ่มร่วมให้ข้อมูลและแนวทางการดำเนินธุรกิจ ท่ามกลางความท้าทายด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกำลังซื้อในประเทศ รวมถึงการแข่งขันในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีรออยู่ข้างหน้า
บริษัทที่นักลงทุนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก คือ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น TFMAMA ผู้ผลิตและจำหน่ายบะหมี่และอาหารกึ่งสำเร็จรูป ตราสินค้า “มาม่า” โดยผู้บริหารเปิดเผยว่า มีแผนขยายตลาดไปยังต่างประเทศมากขึ้น พร้อมเชื่อว่ากำลังซื้อในประเทศจะฟื้นตัวได้ ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 6-8%
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทในเครือร่วมให้ข้อมูล เช่น บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น SPI ซึ่งถือเป็นบริษัทแม่ของเครือสหพัฒน์, บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น PB เจ้าของแบรนด์ “ฟาร์มเฮาส์” และบริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น TNL ที่อยู่ระหว่างปรับโครงสร้างไปสู่ธุรกิจให้บริการการเงินและอสังหาริมทรัพย์ อย่างน่าสนใจ
พันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFMAMA เปิดเผยว่า สำหรับมุมมองในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 คาดว่าในช่วงไตรมาส 3-4 จะมีการเติมกำลังซื้อเข้าไปในกระเป๋าของผู้บริโภค จากมาตรการรัฐและการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคมีสูงขึ้น และเพียงพอที่จะจับจ่ายใช้สอยกับสินค้าจำเป็นต่างๆ
โดยบริษัทมีแผนออกผลิตภัณฑ์และรสชาติใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และคาดว่ายอดขายจะสามารถเติบโตได้ที่ 6-8% จากการเพิ่มขึ้นของการบริโภคในประเทศและต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม แม้ “มาม่า” จะถูกมองว่าเป็นสินค้าที่ค่อนข้างอิงกับกำลังซื้อของเศรษฐกิจฐานราก แต่ก็สามารถทำยอดขายให้มีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าในภาวะเศรษฐกิจแบบใด
ทั้งนี้ บริษัทวางกลยุทธ์ในการเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีมูลค่าสูง (Value Base Product) เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและนวัตกรรมทางการตลาด พร้อมขยายตลาดไปยังต่างประเทศทั่วโลก ได้แก่ การขยายโรงงานในต่างประเทศ และการหาพันธมิตรทางธุรกิจ โดยตั้งเป้าส่งออกไปยัง 80 ประเทศ ภายใน 3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบัน 68 ประเทศ โดยบริษัทให้ความสนใจในการขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศแอฟริกาใต้ และอเมริกาใต้
พร้อมกันนี้ บริษัทเดินหน้าทำการตลาดในประเทศที่มีตลาดอยู่แล้วให้ดีขึ้น อย่างในสหรัฐฯ และออสเตรเลีย โดยมีการปรับสูตรและรูปแบบผลิตภัณฑ์ ให้เข้าถึงลูกค้าท้องถิ่นมากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างหาโอกาสในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาการลงทุนต่างๆ สามารถเข้ามาช่วยสนับสนุนผลประกอบการของบริษัทได้ดีขึ้น อย่างโรงงานถ้วยกระดาษ และโรงงานแป้งสาลี เป็นต้น ซึ่งเป็นธุรกิจที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ นอกจากนี้ ยังมองหาโอกาสในการลงทุนธุรกิจใหม่ๆ ร่วมกับพันธมิตรด้วย
ด้าน วรยศ ทองตัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น SPI เปิดเผยว่า บริษัทมีการพัฒนาและปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพื่อให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยบริษัทมุ่งในการพัฒนาธุรกิจใน 3 มิติ ได้แก่ 1. การเป็นผู้นำด้านการพัฒนาที่ดินสำหรับอุตสาหกรรม 2. การมองหาแหล่งลงทุนที่หลากหลาย พร้อมร่วมลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ และ 3. การแบ่งปันองค์ความรู้ต่อยอดความร่วมมือ ทั้งภายในและภายนอกกลุ่มสหพัฒน์
ทั้งนี้ เนื่องด้วยบริษัทเห็นแนวโน้มในการย้ายฐานการผลิตมายังภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น ทำให้คาดว่าเม็ดเงินลงทุนจะไหลเข้าประเทศไทยได้เพิ่มเติม ซึ่งถือเป็นโอกาสและปัจจัยบวกต่อธุรกิจการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมและสวนอุตสาหกรรม ให้มีการเติบโตรองรับความต้องการดังกล่าว
นอกจากนี้ เชื่อว่าการพัฒนาโครงการ KingBridge Tower เป็นอาคารสูงแห่งแรกในเครือสหพัฒน์ ตั้งอยู่บริเวณถนนพระราม 3 จะเป็น “THE NEXT CHAPTER” ของกลุ่มบริษัท เพราะโครงการดังกล่าวเป็นศูนย์กลางความร่วมมือระหว่างธุรกิจ ซึ่งบริษัทพันธมิตรหลายราย ได้ตอบรับในการย้ายสำนักงานเข้ามาอยู่รวมกัน และเชื่อว่าจะก่อให้เกิดการพัฒนาธุรกิจต่างๆ ให้เติบโตได้ในอนาคต
ด้าน อภิเศรษฐ ธรรมมโนมัย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ PF เปิดเผยว่า คาดหวังว่าแนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการเติบโตที่ดี โดยมีปัจจัยหนุนจากภาคการท่องเที่ยว และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยวางเป้าหมายยอดขายเติบโตที่ระดับ 10%
ทั้งนี้ ยอมรับว่าปัจจุบันอุตสาหกรรมมีการแข่งขันที่อยู่ในระดับสูง แต่เป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก จากการบริโภคขนมปังในไทยยังมีสัดส่วนไม่มากนัก โดยบริษัทมีแผนทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งการแคมเปญโฆษณา และการปรับรูปแบบบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภคให้ความสนใจมากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทวางแผนขยายตู้ขายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) โดยตั้งเป้าเพิ่มจำนวน 1,000 ตู้ต่อปี ซึ่งจะมีการจำหน่ายทั้งขนมปังและเครื่องดื่มภายในตู้ เชื่อว่าจะสามารถสนับสนุนยอดขายได้ในอนาคต
ด้าน นันทวัฒน์ สุรวัติเสถียร กรรมการ และหัวหน้าคณะผู้บริหาร สายงานการเงิน บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น TNL เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น และโครงสร้างธุรกิจ ไปสู่ธุรกิจให้บริการด้านการเงิน และธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2567
โดยการลงทุนใน 3 ธุรกิจใหม่ ได้แก่ ธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักประกัน ดำเนินการผ่าน บริษัท ออกซิเจน แอสเซ็ท จำกัด (OXA), ธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์รอการขาย ผ่าน บริษัทบริหารสินทรัพย์ ออกซิเจน จำกัด (OAM) และธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผ่านบริษัท ทีเอ็นแอล อัลไลแอนซ์ จำกัด (TNLA) เชื่อว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า และการเติบโตที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนขายหุ้นธุรกิจเดิม คือ บริษัท ทีเอ็นแอลเอ็กซ์ จำกัด (TNLX) ซึ่งเป็นธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ให้กับบริษัทในเครือสหพัฒน์ ซึ่งบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการขายหุ้นดังกล่าว ไปใช้ขยายธุรกิจที่บริษัทมุ่งเน้นตามแผนกลยุทธ์ และนำเงินไปชำระเงินกู้ยืมของบริษัท
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้