คลัง เปิดแพ็กเกจดึงเงินเข้าตลาดหุ้น เล็งฟื้นกองฯ “วายุภักษ์” พร้อมแก้กองฯ TESG ถือครอง 5 ปี

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

คลัง เปิดแพ็กเกจดึงเงินเข้าตลาดหุ้น เล็งฟื้นกองฯ “วายุภักษ์” พร้อมแก้กองฯ TESG ถือครอง 5 ปี

Date Time: 24 มิ.ย. 2567 20:03 น.

Video

ล้วงไส้ TEMU อีคอมเมิร์ซจีน บุกไทย ทำไมอาจสร้างวิบากกรรมกว่าที่คิด ? | Digital Frontiers

Summary

  • 3 หน่วยงานตลาดทุน แถลงข่าวร่วม “ความท้าทายสู่โอกาส : การขับเคลื่อนตลาดทุน” เล็งพิจารณาตั้ง “กองทุนวายุภักษ์” ใหม่ เร่งศึกษา-ทำงาน ให้โครงสร้างแข็งแรงขึ้น หวังดึงเม็ดเงินเข้าหุ้นไทย พร้อมแก้เกณฑ์กองทุน TESG ขยายวงเงิน-ลดเวลาถือครอง คาดชง ครม. ได้ภายใน 2 สัปดาห์ หวังดึงเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท ในช่วงที่เหลือของปี

Latest


3 หน่วยงานสำคัญตลาดทุน กระทรวงการคลัง, สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าว “ความท้าทายสู่โอกาส : การขับเคลื่อนตลาดทุน” โดยเร่งผลักดันมาตรการส่งเสริมการออมการลงทุน การลงทุนที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสามารถจูงใจให้เกิดการออมและการลงทุนระยะยาวในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ ขณะนี้กำลังพิจารณาตั้ง “กองทุนวายุภักษ์” ใหม่ เพื่อส่งเสริมการออมและการลงทุนผ่านการลงทุนร่วมของภาครัฐ


พร้อมกันนี้ ยังมีการปรับเงื่อนไขกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund: TESG fund) ให้มีความน่าสนใจมากขึ้น คาดว่าจะเสนอให้ ครม. พิจารณาใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า ประเมินว่าจะมีเม็ดเงินเข้าตลาดหุ้นไทยไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาทในช่วงที่เหลือของปี


พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเร่งผลักดันมาตรการส่งเสริมการออมการลงทุน โดยที่ผ่านมา การลงทุนที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี สามารถจูงใจให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเกิดการออม และยังสร้างกระแสเงินทุน และการสร้างการลงทุนระยะยาวในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ


ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาและศึกษาการตั้ง “กองทุนวายุภักษ์” ใหม่ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมกลไกการออมและการลงทุนให้กับประชาชน โดยผ่านรูปแบบการลงทุนร่วมของภาครัฐ นอกจากนี้ยังมีการพิจารณาโครงสร้างผลตอบแทนที่มีขั้นต่ำและขั้นสูงต่อปี พร้อมกับการกำหนดลำดับสิทธิการได้รับผลตอบแทนเพื่อรองรับผู้ลงทุนที่มีความเสี่ยงแตกต่างกันด้วย


นอกจากนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจของประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายในและภายนอก ทำให้เศรษฐกิจไทยติดลบและยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปลายปี 2566 เศรษฐกิจไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้น จากทั้งการคลี่คลายทางการเมือง ทำให้สามารถเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐได้ และการฟื้นตัวของการส่งออกและการท่องเที่ยว ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวสูงในปีนี้และต่อเนื่องไปในปีหน้า ซึ่งสอดคล้องกับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แม้ว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะปรับตัวลดลง ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว มีแนวโน้มดีขึ้น


ในไตรมาสที่ 1/67 ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมากกว่าครึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ ระดับราคาของหุ้นไทยที่ปรับลดลง ในขณะที่ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น จึงเป็นโอกาสในการลงทุนระยะยาว โดยรับความเสี่ยงผันผวนในระยะสั้นเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว สอดคล้องกับเป้าหมายในการสร้างความเพียงพอและความมั่นคงทางการเงินของผู้ลงทุน


ด้าน พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า นอกจากนี้ยังมีการปรับเงื่อนไขกองสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีในปัจจุบัน คือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund: TESG fund) ให้มีความน่าสนใจมากขึ้น เช่น การเพิ่มวงเงินเป็นไม่เกิน 300,000 บาท ลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปีนับจากวันที่ซื้อ พร้อมเพิ่มระดับการประเมิน cg rating ของ IOD และมีการเปิดเผยข้อมูลด้านบรรษัทภิบาล (G) ในระดับและรูปแบบที่ ก.ล.ต.กำหนด เพื่อสอดคล้องกับเป้าหมายในการสร้างผลกระทบเชิงบวก ทั้งในการออมและการให้แรงจูงใจผู้ลงทุน ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในมิติด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน 


ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเสนอให้ ครม.พิจารณาได้ใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งประเมินว่าจะมีเม็ดเงินเข้าตลาดหุ้นไทยไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาทในช่วงที่เหลือของปี หากอ้างอิงจากการเริ่มเปิดเสนอขายกองทุน TESG ในช่วงปลายปีที่แล้ว อยู่ที่เดือนละราว 6,000 ล้านบาท


อย่างไรก็ตาม มาตรการขับเคลื่อนการลงทุนจะต้องควบคู่กับการแก้ไขปัญหาที่ท้าทายตลาดในปัจจุบัน ทั้งจากธุรกรรมขายชอร์ตและการซื้อขายของโปรแกรมเทรดที่อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์ฯ) และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) จึงได้ผลักดันมาตรการต่างๆ และเร่งรัดให้เกิดการดำเนินการที่คำนึงถึงผลกระทบในหลายด้านอย่างรอบคอบ และให้มีการดำเนินการอย่างชัดเจน โดยส่วนใหญ่จะดำเนินการได้ต้นเดือนกรกฎาคม 2567


ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ จะติดตามผลของการดำเนินการและมีการทบทวนมาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และขอให้มั่นใจว่า พฤติกรรมการกระทำผิดในลักษณะที่เข้าข่ายการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ (Market Misconduct) เมื่อเกิดขึ้นจะมีการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และระดับความรุนแรงของความผิดจะสูงขึ้นจากมาตรการที่ขับเคลื่อนครั้งนี้ รวมทั้งการกำหนดปรับปรุงค่าปรับจากการกระทำผิดที่สูงขึ้นและการปรับแก้กฎหมายให้เข้มข้นขึ้น เพื่อป้องปรามการกระทำที่ไม่เหมาะสม

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ