หุ้นไทย ‘เศรษฐา’ เป็นนายกฯ ร่วง 227 จุด ต่างชาติทิ้ง 1.5 แสนล้าน ความมั่งคั่งหายวับ 2.6 ล้านล้าน

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

หุ้นไทย ‘เศรษฐา’ เป็นนายกฯ ร่วง 227 จุด ต่างชาติทิ้ง 1.5 แสนล้าน ความมั่งคั่งหายวับ 2.6 ล้านล้าน

Date Time: 11 มิ.ย. 2567 10:00 น.

Video

“The Summer Coffee Company” มากกว่า เครื่องดื่ม คือ ความสุข | Brand Story Exclusive EP.3

Summary

  • ดัชนีตลาดหุ้นไทย ยุคสมัย การเป็นนายกรัฐมนตรี ของ “เศรษฐา ทวีสิน” ปรับตัวลดลงแล้วกว่า 227.03 จุด มาอยู่ที่ 1,318.57 จุด จากดัชนีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ปิดตลาดอยู่ที่ 1,545.60 จุด

Latest


ตลาดหุ้นไทยในยุคสมัย การเป็นนายกรัฐมนตรี ของ “เศรษฐา ทวีสิน” ดูไม่ค่อยสวยงามนัก เพราะนับตั้งแต่ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้ลงมติ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้ง เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทย แทน “พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ดัชนีหุ้นไทยมีแต่ทรงกับทรุด 


โดย ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทย ปิดตลาดวันที่ 10 มิถุนายน ปรับตัวลดลงแล้วกว่า 227.03 จุด มาอยู่ที่ 1,318.57 จุด จากดัชนีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ปิดตลาดอยู่ที่ 1,545.60 จุด


ในช่วงเวลาเดียวกัน มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market cap.) ที่สะท้อนถึงความมั่งคั่งของตลาดหุ้นไทย ลดลงเหลือเพียง 16.31 ล้านล้านบาท ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2567 หรือลดลงราว 2.64 ล้านล้านบาท จาก 18.95 ล้านล้านบาท ในวันที่ 22 สิงหาคม 2566


นอกจากนี้ ข้อมูลการซื้อขายแยกตามกลุ่มผู้ลงทุน ยังพบว่า นับตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2566 จนถึง 10 มิถุนายน 2567 นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิหุ้นไทยแล้วกว่า 150,476.37 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 5,469.48 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนภายในประเทศ ซื้อสุทธิ 119,464.81 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิ 36,481.04 ล้านบาท


ท่ามกลางปัจจัยทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ ที่กดดันภาพรวมการลงทุน ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สำคัญหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่ยังเป็นปัจจัยกดดันหลักในปัจจุบัน


อีกทั้งยังถูกกดดันด้วยนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยเฉพาะดอกเบี้ยนโยบาย ที่มีแนวโน้มจะปรับตัวลดลงได้ช้ากว่าที่หลายคนเคยคาดการณ์ไว้


พร้อมกันนี้ ยังมีความท้าทายด้านเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อของไทยที่ล่าสุดปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะจบลง


อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมานักลงทุนต่างคาดหวัง “นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลเพื่อไทย ที่อาจเป็นยาแรงช่วยฟื้นภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศได้ โดยเฉพาะเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่คาดว่าจะออกมาเร็วๆ นี้ แต่ก็ยังต้องติดตามต่อว่า มาตรการดังกล่าวจะเป็นแรงหนุนให้เศรษฐกิจไทยได้แค่ไหน


ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า 5 เดือนแรกปี 2567 ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 8.9 หมื่นล้านบาท เพราะการผ่านงบประมาณรัฐปี 67 ล่าช้ากว่าปกติ และการส่งออกโตน้อยกว่าคาด แม้กำไร บจ.ไตรมาสแรกปี 2567 จะโต 1.7% พร้อมชี้หุ้นไทยครึ่งหลังปี 67 ยังไม่สดใส เหตุนักลงทุนขาดความมั่นใจ หลังเศรษฐกิจไทยอาจตกหลุม มองเป้าหมายดัชนีสิ้นปี 67 ระดับ 1,539 จุด


หุ้นไทยครึ่งหลังปี 2567 อาจยังไม่ “สดใส”


ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังปี 2567 คาดการณ์ว่าอาจไม่สดใสมากนักหลังนักลงทุนขาดความมั่นใจในการลงทุน จากหลากหลายปัจจัยความเสี่ยง เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังปี 2567 ที่ยังคงดูฟื้นตัวได้ช้า ประกอบกับการผลักดันมาตรการใหม่จากรัฐยังคงเลื่อนออกไป และมีโอกาสจะตกหลุมอากาศ ยิ่งในช่วงไตรมาส 3 ที่เป็นโลว์ซีซั่นหน้าฝนจะเป็นช่วงที่กำไร บจ. เข้าสู่รอบจุดต่ำสุด


แม้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 ตัวเลขเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 1.5% จากภาคการท่องเที่ยวและส่งออกที่เริ่มดีขึ้นก็ตาม แต่การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ของภาครัฐเพื่อการลงทุนเบิกจ่ายเพียง 12% ของงบประมาณทั้งหมด เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่มีสถิติการเบิกจ่ายเฉลี่ยประมาณ 30-40%


ขณะเดียวกันภาคการส่งออกเริ่มส่งสัญญาณไม่ค่อยดีนัก, การบริโภคภายในประเทศเริ่มอ่อนแอลงสังเกตจากยอดขายสินค้าคงทนจำพวกรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ อสังหาฯ เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ลดลงติดต่อกันหลายเดือน ฉะนั้นความเสี่ยงการปรับลดเป้าหมายตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจปี 2567 ยังคงอยู่ รวมถึงมาตรการคุมเข้ม Short sell เพิ่มเติมของตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจยังไม่ได้ประกาศใช้ในเร็ว ๆ นี้


สำหรับกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีแนวคิดจะผลักดันกองทุน LTF กลับมาอีกครั้ง เรายังไม่ได้คาดหวังว่าวงเงินเพื่อการหักภาษีจะสูงมากนัก เนื่องจากภาครัฐจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินอัดเข้าไปกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นหลัก ฉะนั้นโครงการผลักดันกองทุน LTF จะสามารถเห็นผลได้เร็วสุดในช่วงปลายปี 


แต่ผลกระทบด้านตัวเลขเม็ดเงิน เข้าตลาดหุ้นไทย ประเมินว่า คงไม่ได้มากเท่าเดิม คาดว่าจะอยู่ราว 1-1.5 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับในอดีตที่อยู่ประมาณ 2-3  หมื่นล้านบาททุกปี เทียบกับเม็ดเงิน LTF เดิมที่คงค้างในระบบและรอไถ่ถอนได้ประมาณ 2.4 แสนล้านบาท 


หุ้นไทยอาจ “ไม่ดึงดูดต่างชาติ” หากเทียบตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน


อย่างไรก็ตาม ยังคงเป้าหมายดัชนี SET สิ้นปี 67 ระดับ 1,539 จุด ปัจจุบันยังมีอัพไซด์ประมาณ 15% โดยได้ปรับลดคาดการณ์ดัชนีลงจากเดือน ธ.ค. 66 ที่มองไว้ระดับ 1,620 จุด อ้างอิงจากคาดการณ์กำไร บจ. ปี 67 โต 15% จากปีก่อน ส่วนค่า P/E ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันอยู่ระดับ 14.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่อยู่ 15.3 เท่า


แต่เมื่อเทียบกับตลาดเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ที่มีค่า P/E ระดับ 15 เท่า แต่กำไร บจ. โต 25% มากกว่าไทย 2 เท่า ส่วนจีนและฮ่องกงกำไรคาดการณ์โตใกล้เคียงกับไทย แต่ค่า P/E ตลาดหุ้นฮ่องกงยังต่ำกว่า 10 เท่า และค่า P/E ตลาดหุ้นจีนอยู่ที่ 11.3 เท่า ทำให้หุ้นไทยอาจไม่ได้ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้มากนัก


และอาจมีโอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยยังอยู่ภายใต้แรงกดดัน จากการดาวน์เกรดค่า P/E ลงมา หลังกำไรไม่ได้โดดเด่นอย่างที่คาด จนกว่าตัวเลขกำไรจะเติบโตอย่างสมเหตุสมผลและมีตัวเร่งก็จะขับเคลื่อนตลาดขึ้นใหม่

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ