หุ้นกลุ่มพลังงานถูกให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องจากนักลงทุน หลังราคาน้ำมันยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ต่างมองว่าสถานการณ์ตะวันออกกลาง และการจำกัดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ จะยังทำให้ทิศทางราคาน้ำมันต่อจากนี้ยืนอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ชี้หุ้นบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น PTTEP เด่น รับประโยชน์สูงสุด
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังอยู่ในภาวะผันผวน ซึ่งหากพิจารณาภายใต้อุปสงค์ (demand) และอุปทาน (supply) ที่แท้จริง และราคาน้ำมันในปัจจุบัน ฝ่ายวิจัยยังคงมุมมองที่คาดทิศทางราคาน้ํามันจะยังทรงตัวได้ในระดับสูงต่อเนื่อง จากเหตุการณ์ความไม่สงบในอิสราเอล และการจํากัดอุปทานของกลุ่ม OPEC+
ส่วนการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันจะมีเสถียรภาพมากน้อยเพียงใด ยังขึ้นอยู่กับอุปสงค์ ซึ่งแปรผันตามการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยกําหนดสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบระยะยาวตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไปอยู่ที่ 80 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งภายใต้สมมติฐานดังกล่าว มูลค่าพื้นฐานของ PTTEP อยู่ที่ 180 บาท/หุ้น ยังแนะนําหาจังหวะซื้อเก็งกำไร (trading) ตามทิศทางราคาน้ำมัน
ในส่วนของค่าการกลั่นนั้น ภาพรวมในปี 2567 กําหนดสมมติฐานกลับสู่ใกล้เคียง ระดับปกติ 6-10 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล โดยการปรับตัวทยอยเข้าสู่อุปสงค์ และอุปทาน ที่แท้จริง ดังนั้น ฝ่ายวิจัยยังคงมุมมองโรงกลั่นให้เล่นตามการปรับตัวของ ค่าการกลั่น และช่วงฤดูกาลเช่นเดิม
ซึ่งปกติแล้วค่าการกลั่นจะทยอยปรับตัว เพิ่มขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 4 ยาวต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 1 ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาว ก่อนที่จะค่อยๆ ปรับตัวลงในไตรมาส 2 เล็กน้อย และจะต่ำสุดในไตรมาส 3 ซึ่งเป็น ช่วง low season ภายใต้ไม่มี พายุเฮอริเคน ที่รุนแรง แต่หากมีการเกิด พายุเฮอริเคน ขึ้น มีโอกาสที่จะเห็นค่าการกลั่นดีดตัวขึ้นโดดเด่นได้ในช่วง พายุเฮอริเคน ซึ่งจะถือเป็นแนวโน้มเชิงบวกต่อกลุ่มโรงกลั่นได้
สําหรับส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และราคาวัตถุดิบ (spread) ปิโตรเคมี คาดในปี 2567 น่าจะเข้าสู่ภาวะสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานมากขึ้น โดยให้น้ำหนักการกลับมาของอุปสงค์ อยู่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศที่ทยอยเกิดขึ้น เศรษฐกิจที่จะสู่ภาวะปกติได้ จะเกิดในช่วงในช่วงครึ่งหลังของปีมากกว่าช่วงครึ่งแรก แต่ทั้งนี้ภาพรวม ปิโตรเคมีในปัจจุบันก็ถือว่าอยู่ในภาวะจุดต่ำสุดรอฟื้นตัว โดยเฉพาะจากผู้บริโภค โดยเฉพาะจากผู้บริโภคหลัก เช่น จีน ฝ่ายวิจัยจึงให้น้ำหนักการลงทุนกลุ่มฯ เท่าตลาด
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ตะวันออกกลางได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น และส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทะลุ 90 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
ทิศทางราคาน้ำมันจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์อุปทานน้ำมันที่จะเกิดขึ้น คาดว่าสถานการณ์ที่ยกระดับขึ้นอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น โดยอิหร่านได้เพิ่มระดับการป้องกันที่ช่องแคบฮอร์มุซมากขึ้น ซึ่งเป็นช่องแคบทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในอุตสาหกรรมน้ำมัน เนื่องจากอุปทานน้ำมันทั่วโลกกว่า 20% ดำเนินการผ่านช่องแคบนี้
ทั้งนี้ มองว่ามีความเป็นไปได้ที่เราจะได้เห็นราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นในระยะสั้น จากนั้นกลับมาลดลงต่ำกว่า 90 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หากไม่มีการโจมตีหรือการพัฒนาที่สำคัญอีกต่อไป และไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าความไม่แน่นอนนี้จะเพิ่มความเสี่ยงให้กับราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นถึงระยะกลางมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม PTTEP ได้ประโยชน์มากที่สุด ในขณะที่โรงกลั่นก็ได้รับผลกระทบเชิงบวกในระยะสั้นเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ เราจึงยังคงชอบ PTTEP และโรงกลั่น เราเชื่อว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะมีความเสี่ยงขาขึ้นต่อการคาดการณ์กำไรของบริษัทฯ เหล่านี้
หากสถานการณ์อิหร่าน-อิสราเอลแย่ลง ราคาน้ำมันดิบและอัตราค่าระวางเรืออาจพุ่งสูงขึ้น และส่งผลเสียต่อค่าการกลั่น ดังนั้น กำไรของผู้กลั่นที่ใช้น้ำมันดิบในตะวันออกกลางน้อยจึงมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้ เช่น BCP และ BSRC
ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการค้าปลีกน้ำมันจะมีความเสี่ยงขาลงจากค่าการตลาดขายปลีกน้ำมันที่ลดลงจากเพดานราคาน้ำมันดีเซลและการขาดทุนของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจำนวนมาก
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้