เริ่มฟื้นตัวแล้วสำหรับผลประกอบการของ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP บริษัทดำเนินธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์ ของกลุ่ม ปูนซีเมนต์ไทย ที่ล่าสุดรายงานกำไรไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 มีกำไรสุทธิ 1,725 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% ผลจากการฟื้นตัวของการบริโภค ทั้งในไทยและอาเซียน พร้อมประกาศตั้งงบ 1.5 หมื่นล้าน เพื่อขยายธุรกิจในภูมิภาค
บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) รายงานว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 เติบโตอย่างต่อเนื่อง มีรายได้จากการขายรวม 33,948 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน การเติบโตมาจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร และสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ
ผลจากการฟื้นตัวของ กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ และการเทียบเคียงกับฐานที่ต่ำในไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 นอกจากนี้อุปสงค์ของสินค้าฟุ่มเฟือยมีการปรับตัวดีขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกและในภูมิภาคที่ลดลง สอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มฟื้นตัว รายได้จากการขายเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจหลัก เนื่องจากความต้องการบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคเติบโตได้ดีซึ่งได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การเตรียมสินค้าก่อนช่วงวันหยุดยาว นโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐในประเทศไทย และการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งในประเทศอินโดนีเซีย
ประกอบกับการปรับตัวที่ดีขึ้นของภาคส่งออกในภูมิภาคอาเซียนโดยเฉพาะในกลุ่มอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และรองเท้า EBITDA เท่ากับ 5,151 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 1,725 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% จากปริมาณการขายและอัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization rate) ที่เพิ่มขึ้นในทุกผลิตภัณฑ์หลัก ควบคู่ไปกับการจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับแนวโน้มธุรกิจของ SCGP ในปี 2567 เศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากการปรับตัวเข้าสู่ระดับปกติของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลบวกต่อการเติบโตของตลาดในประเทศพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ จากสถานการณ์เศรษฐกิจข้างต้นเป็นปัจจัยบวกช่วยกระตุ้นความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค เสริมสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจ และส่งเสริมการค้าโลก อย่างไรก็ตามยังคงมีความท้าทายที่ต้องจับตามองอยู่โดยเฉพาะเศรษฐกิจในยุโรปที่มีการคาดการณ์ว่ายังฟื้นตัวได้ช้า รวมถึงความไม่แน่นอนจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินอยู่ เศรษฐกิจในอาเซียนยังคงเติบโตอย่างมีเสถียรภาพโดยการบริโภคภายในประเทศยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ความต้องการบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าจำเป็นและสินค้าที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคมีแนวโน้มเติบโตได้ดี เช่น กลุ่ม อาหารและเครื่องดื่ม อาหารแช่แข็ง อาหารกระป๋อง และอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง จากการฟื้นตัวของภาคการบริการ และการท่องเที่ยว
ทั้งนี้ SCGP ได้จัดสรรงบประมาณการลงทุน (CAPEX) ไว้ประมาณ 15,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุนเข้าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ (Merger and Partnership: M&P) และการขยายธุรกิจปัจจุบัน (Organic expansion) เป็นหลัก เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางการแข่งขันตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดยเฉพาะการดำเนินงานในประเทศเวียดนามและประเทศอินโดนีเซีย
อีกทั้ง SCGP ยังคงมองหาโอกาสการเติบโตในธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูงและสอดคล้องกับทิศทางเชิงกลยุทธ์ของบริษัทอย่างระมัดระวัง พร้อมทั้งติดตามตลาดที่มีศักยภาพ เช่น เอเชียใต้ เป็นต้น นอกจากนี้ SCGP ได้เร่งขยายกำลังการผลิตโรงงานบรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษลูกฟูก พร้อมทั้งเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตเพื่อเสริม ประสิทธิภาพการดำเนินงานของโรงงานกระดาษบรรจุภัณฑ์รองรับความต้องการที่เติบโตขึ้นในภูมิภาค