นักลงทุนต่างให้ความสนใจสำหรับภาพรวมการลงทุนในปี 2567 นี้ หลังอัตราดอกเบี้ยนโยบายทั่วโลกกำลังผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ทำให้เม็ดเงินลงทุนน่าจะไหลเข้าสินทรัพย์อื่นๆ มากขึ้น โดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้น ด้านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (KSAM) ประเมินว่าเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมีโอกาสไหลกลับเข้าหุ้นไทยในปีนี้ พร้อมเปิด 5 ธีมการลงทุนที่น่าสนใจ
ศิระ คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (KSAM) เปิดเผยว่า ปี 2567 มองแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยดอกเบี้ยทั่วโลกเริ่มเข้าสู่วัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาลง จากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อได้ทยอยปรับตัวลดลง ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อภาพรวมการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท ทั้งตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้น พร้อมแนวโน้มเศรษฐกิจโลกปีนี้ที่คาดว่ากำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว
ด้านเศรษฐกิจไทยปี 2567 คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มขยายตัว 3.7% ซึ่งยังไม่รวมผลของนโยบาย Digital Wallet โดยการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มที่จะขยายตัว 3.8% ภาคการส่งออกมีแนวโน้มเติบโต 5.3% ส่วนเงินเฟ้อของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 0.47% ในปีนี้ จากระดับ 1.3% ในปีที่แล้ว
ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ การฟื้นตัวของภาคการส่งออก และจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความไม่แน่นอนของนโยบาย Digital Wallet และภัยแล้งจากเอลนีโญ
สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปี 2567 คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงหนึ่งครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี ทั้งนี้ขึ้นกับภาพรวมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยจากภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคภายในประเทศจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเป็นหลัก พร้อมกันนี้ ประเมินเงินบาทน่าจะแข็งค่าขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยประเมินเป้าหมายเงินบาทปลายปีที่ระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์
ดังนั้น ทำให้มีโอกาสที่เงินทุนจะไหลเข้าตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่มากขึ้น ซึ่งประเมินว่าตลาดหุ้นที่น่าสนใจในภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ ตลาดหุ้นอินเดียและเวียดนาม คาดว่าจะได้ประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยปี 2567 ยังมีความน่าสนใจจากการปรับตัวลดลงมา และมีอัตราการเติบโตของผลกำไรบริษัทจดทะเบียนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2566 โดยปัจจัยบวกสำคัญในระยะสั้นคือความชัดเจนในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลโดยเฉพาะนโยบายเงินดิจิทัล คาดการณ์ว่าแนวโน้มหุ้นไทยจะได้รับผลบวกจากการผ่อนคลายนโยบายการเงิน รวมถึงค่าเงินบาทที่เริ่มมีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้น
ขณะเดียวกัน มีโอกาสที่เม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติที่กลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยหลังจากขายออกไปกว่า 1.92 แสนล้านบาทในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นปี 2567 จะอยู่ที่ระดับ 1,552 จุด หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นใน 9.61% จากสิ้นปี 2566 บนสมมติฐานกำไรต่อหุ้นที่ 96.8 บาท และค่า P/E ที่ 16 เท่า
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศปี 2567 มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น แต่อาจมีความผันผวนอยู่บ้าง และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ได้ปรับขึ้นมาอยู่ในระดับที่น่าลงทุนมากขึ้น ดังนั้นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนมีโอกาสสร้างอัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้อีก ทั้งนี้ แนะนำให้เพิ่มการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือเฉลี่ยที่ยาวขึ้นควบคู่ไปกับการลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนคุณภาพดี
สำหรับธีมการลงทุนที่น่าสนใจในปี 2567 ได้แก่
1. การลงทุนในตราสารหนี้ เพราะได้ประโยชน์จากการที่ดอกเบี้ยสหรัฐกลับตัวเป็นขาลง โดยมีกองทุนแนะนำ คือ KFTRB และ KF-CSINCOM
2. การลงทุนในตลาดประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัว โดยมีกองทุนแนะนำ คือ KF-EM, KFINDIA และ KFVIET
3. การลงทุนหุ้นคุณภาพสูงที่มีหนี้อยู่ในระดับต่ำ มีอัตราการทำกำไรสูง มีกระแสเงินสดดี และมีความทนทานในสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวได้ดี โดยมีกองทุนแนะนำ คือ KFGBRAND
4. การลงทุนในกลุ่มที่มีปัจจัยบวกโดดเด่นเฉพาะตัว เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ที่ได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่มีแนวโน้มเติบโตได้สูงกว่าตลาดโดยรวม รวมถึงปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาวเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์และการฟื้นตัวของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ โดยมีกองทุนแนะนำ คือ KFHTECH
5. การลงทุนในหุ้นไทยที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดี โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่มีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่องจากปีก่อน จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนยังไม่ฟื้นไปที่ระดับช่วงก่อนโควิด โดยแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มโรงแรม กลุ่มสายการบิน กลุ่มสนามบิน และกลุ่มค้าปลีก
สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุนในปี 2567 นั้น นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์เพื่อลดความผันผวนและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ และลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่สามารถรับได้ ทั้งนี้ การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายและลงทุนตามธีมที่โดดเด่นจะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างการเติบโตที่ดีของพอร์ตการลงทุนในระยะยาวได้
สุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับปี 2567 บริษัทยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการกองทุนควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ให้ความสำคัญกับการขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ในวงกว้าง เน้นการพัฒนาบริการในรูปแบบดิจิทัล โดยเฉพาะบน @ccess Mobile เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทั้งลูกค้ากองทุนรวมและลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวมทั้งเพิ่มตัวแทนขายอิสระให้มากขึ้นเช่นกัน
สำหรับแผนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในปีนี้ จะมีการเสนอกองทุนขาย Thai ESG และกองทุนกลุ่ม FIF ที่มีความน่าสนใจและเหมาะกับสภาวะตลาดเพิ่มเติม โดยเร็วๆ นี้จะมีการเสนอขายกองทุนที่มีการกระจายลงทุนในหุ้นโลกคุณภาพดี เป็นต้น
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้