เป็นที่น่าจับตาสำหรับบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น SCC ที่แม้ผลงานในไตรมาส 4/66 จะไม่ออกมาตามที่หลายคนคาดหวังไว้ หลังขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานในเมียนมาจํานวนมาก ขณะที่ผลการดําเนินงานของธุรกิจเคมิคอลส์และธุรกิจซีเมนต์ออกมาอ่อนแอเช่นเดียวกัน
แต่สำหรับแนวโน้มในปี 2567 นั้น โบรกเกอร์หลายแห่งยังคงมีมุมมองเป็นบวก ต่อทิศทางการฟื้นตัวของกำไร โดยปัจจัยเด่นคือ SCC เตรียมเดินเครื่องโครงการ LSP (Long Son Petrochemical Complex) ในเวียดนามเต็มที่ สนับสนุนให้ผลประกอบการในระยะยาวเติบโตได้จากการขยายกำลังการผลิต
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า โครงการปิโตรเคมี LSP จะหนุนการเติบโตระยะยาว และคาดว่ามาร์จิ้นปิโตรเคมีจะยังอ่อนแอต่อในปี 2567 เพราะมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาเพิ่มในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ธุรกิจของ LSP คาดว่าจะขาดทุนในระยะสั้น เพราะอัตรการใช้กำลังการผลิตต่ำกว่าระดับคุ้มทุน (อยู่ในช่วง test run) และวัตถุดิบที่ใช้ทั้งหมดเป็นแนฟทา ซึ่งมีราคาสูงกว่าโพรเพน
อย่างไรก็ดี ด้านกำไร EBITDA น่าจะเป็นบวกได้ เมื่อพิจารณาจากมาร์จิ้นโพลีเอทิลินต่อพอลิโพรพิลีน (PE/PP) ที่ 360/300 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน รวมทั้ง SCC มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นกลุ่มมูลค่าเพิ่มสูงมากขึ้น ซึ่งราคาสูงกว่าเกรดทั่วไป 100-150 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และคาดว่าโครงการ LSP จะเป็นปัจจัยหนุนธุรกิจปิโตรเคมีในระยะยาวเมื่อสามารถใช้ต้นทุนวัตถุดิบแนฟทาและโพรเพนร่วมกันในระดับที่เหมาะสม
นอกจากนี้ การอ่อนตัวของราคาเป็นจังหวะซื้อ SCC โดยให้ราคาพื้นฐานปี 2567 ไว้ที่ 326 บาท ณ ปัจจุบันราคาหุ้นมี P/E ปี 2567 ที่ 9.9 เท่า และมี P/BV ที่ 0.8 เท่า ต่ำกว่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 13.5 เท่า และ 1.2 เท่า ตามลำดับ ธุรกิจซีเมนต์คาดว่าจะดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 หลังรัฐบาลใหม่เร่งลงทุน, ต้นทุนพลังงานลดลง ทั้งถ่านหินและไฟฟ้า, มาร์จิ้นโพลีเอทิลินดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และอุปสงค์ธุรกิจบรรจภัณฑ์ดีขึ้น
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนวโน้มผลการดําเนินงานปี 2567 ที่ดีขึ้น น่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ต่อไป มูลค่าหุ้นปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับที่น่าสนใจ จึงคงคําแนะนํา “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 384 บาท
สำหรับ โครงการ LSP ได้เริ่มดําเนินการผลิตในส่วนผลิตภัณฑ์ปลายน้ำแล้ว ในเดือน มิ.ย. 2566 และปัจจุบันอยู่ในช่วง test run โรงงานโอเลฟินส์ต้นน้ำ และคาดว่าจะเริ่มดําเนินงานเชิงพาณิชย์ทั้งโครงการตั้งแต่เดือน เม.ย.เป็นต้นไป
ทั้งนี้ บริษัทยังคงมุ่งเน้นการขยายผลิตภัณฑ์กลุ่มที่มีมูลค่าเพิ่ม และกลุ่มที่เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งตลาดมีแนวโน้มเติบโตสูงและมีอัตรากําไรสูงกว่าผลิตภัณฑ์กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม SCC วางแผนงบลงทุนปี 2567 ไว้ที่ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท โดยมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจที่เน้นกับสิ่งแวดล้อม, พลังงานสะอาด และดิจิทัลเทคโนโลยี เป็นต้น
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ยังคงเรทติ้ง “OUTPERFORM” สําหรับหุ้น SCC แต่ปรับราคาเป้าหมายลดลงอยู่ที่ 325 บาท เพื่อสะท้อนการปรับประมาณการกําไรลดลง หุ้น SCC เทรดที่ P/BV ปี 2567 ในระดับตํ่าเพียง 0.7 เท่า โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการในระยะกลางถึงระยะยาวของ SCC โดยได้รับการสนับสนุนจากกําลังการผลิตเพิ่มเติมที่โรงงาน LSP และส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่จะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากอุปทานจะเติบโตลดลงในระยะ 5 ปีข้างหนา
ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/67 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนได้ โดยได้รับการสนับสนุนจากชวงไฮซีซั่น ของความต้องการซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ประกอบกับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล (โครงการ Easy E-receipt) และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากความต้องการและราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่สูงขึ้นในตลาดจีน ตลาดไทย และตลาดภูมิภาค
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้