จับตาการประกาศผลประกอบการปี 2566 ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น KKP รายงานผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิสำหรับปี 2566 จํานวน 5,443 ล้านบาท ลดลง ร้อยละ 28.4 เมื่อเทียบกับปี 2565 หากพิจารณากำไรเบ็ดเสร็จรวมสำหรับปี 2566 เท่ากับ 5,452 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการที่ปรับลดลง โดยหลักจากการเพิ่มขึ้นของผลขาดทุนด้านเครดิตและผลขาดทุนจากการขายรถยึดในส่วนของธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ อันเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัวอย่างไม่ทั่วถึง และปัจจัยทางด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเช่าซื้อของสินเชื่อในระดับที่สูงในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ทั้งยังมีสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับสินเชื่อรวมของธนาคาร ส่งผลให้ธนาคารได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างมาก ในขณะที่ธุรกิจทางด้านตลาดทุนได้รับผลกระทบเช่นกันจาก ภาวะตลาดทุนที่ไม่เอื้ออำนวย
ทั้งนี้ ธนาคารยังคงความสามารถในการสร้างรายได้ในระดับที่ดีโดยมีรายได้จากการดำเนินงานรวม 28,763 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 หากเทียบกับปี 2565 โดยหลักจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 ตามปริมาณสินเชื่อที่ขยายตัวและการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย โดยสินเชื่อรวมมีการขยายตัวที่ร้อยละ 5.3 สําหรับปี 2566
นอกจากนี้ ธนาคารยังสามารถบริหารต้นทุนทางการเงินที่มีการปรับขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ธนาคารยังคงมีส่วน ต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิในระดับที่ดีกว่าคาดการณ์ ในขณะที่ทางด้านรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับลดลงที่ร้อยละ 23.5 จากภาวะทางด้านตลาดทุนที่ยังคงซบเซาและส่งผลกระทบต่อการลงทุน ส่งผลให้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับลดลง โดยหลังจากการลดลงของรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ รวมถึงกําไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุนที่ ปรับลดลงตามภาวะตลาด ในขณะที่รายได้ค่านายหน้าประกันปรับลดลงเช่นกันตามการชะลอตัวของสินเชื่อปล่อยใหม่
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดําเนินงาน หากไม่รวมรายการที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินรอการขาย ธนาคารยังคงสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ในระดับที่ดี ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานต่อรายได้สุทธิ สําหรับปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 40.4 ซึ่งอยู่ในระดับที่แสดงถึงการบริหารค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตลอดปี 2566 ธนาคารได้ให้ความสําคัญอย่างยิ่งกับการเร่งบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ โดยเฉพาะในส่วนของสินเชื่อ เช่าซื้อที่มีการปรับตัวอ่อนลง รวมถึงการเร่งบริหารปริมาณรถยึดคงค้างอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สถานการณ์กลับมาสู่ระดับปกติโดยเร็ว ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากรายการผลขาดทุนจากการขายทรัพยสินรอการขายยังอยู่ในระดับสูง ตามการบริหารจัดการปริมาณทรัพย์สินรอการขายเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้งนี้ จากมาตรการต่างๆ ที่ธนาคารได้มุ่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อเร่งบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ ส่งผลให้ธนาคารเห็นสัญญาณที่ดีข้ึนจากผลขาดทุนด้านเครดิตที่เริ่มปรับตัวลดลงในไตรมาส 4/2566
นอกจากน้ีในปี 2566 ธนาคารสามารถจัดการสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตรายใหญ่ ที่คงค้างอยู่กับธนาคารมาเป็นระยะเวลายาวนานได้สำเร็จ ส่งผลให้ปริมาณสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตในส่วนของสินเชื่อธุรกิจปรับลดลงมาก
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้