หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวน่าจับตามากขึ้น หลังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 4/66 โดยเฉพาะการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ 2567 นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ชี้ถึงสัญญาณเชิงบวกของการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยว จากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น พร้อมประเมินแนวโน้มกำไรปีหน้าสดใส
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยช่วง 1 ม.ค.-17 ธ.ค. 66 อยู่ที่ 26.45 ล้านคน สอดคล้องกับสมมติฐานทั้งปีที่ 27 ล้านคน โดยมองว่าช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีมีแรงส่งจาก Event ท้ายปีช่วงปีใหม่ และฤดูกาลเดินทางของยุโรป ขณะที่ปี 2567 คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยที่ 31.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 14.9% จากปี 2566
ขณะเดียวกัน ฝ่ายวิจัยคงมุมมองกำไรปกติ ไม่รวมรายการพิเศษ งวดไตรมาส 4/66 ถึงไตรมาส 1/67 ของหุ้นที่มีรายได้ในไทยเป็นหลัก (ยกเว้น MINT) ไต่ระดับได้จากไตรมาสก่อน แรงหนุนจากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น อย่างไรก็ดี ตัวเลขนักท่องเที่ยวรายสัปดาห์ข้างต้นไม่ได้ร้อนแรงมาก ทำให้การแข่งขันด้านค่าห้องพักเฉลี่ย (ADR) ของโรงแรมในไทยช่วงปี 2567 จะถูกตลาดจับตามากขึ้น
ทั้งนี้ เชิงกลยุทธ์ฝ่ายวิจัยมองว่า หุ้นของบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น MINT จะสามารถ Outperform โดยมีราคาเหมาะสมที่ 38 บาท หลังราคาหุ้นนับตั้งแต่ต้นปี ปรับตัวลดลง 16.3% เทียบกับดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ลดลง 16.4% คาดเป็นเพราะความกังวลจากราคาพลังงานในยุโรปเป็นหลัก (กำไรเชิงรายไตรมาสเป็นไปตามฤดูกาลท่องเที่ยวในยุโรป) ซึ่งปัจจุบันราคาค่าไฟใน EU ทยอยปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดเหตุความไม่สงบในตะวันออกกลาง ประกอบกับราคาหุ้น MINT ดูสวนทางกับหุ้นโรงแรมในยุโรปมากเกินไป สะท้อนผ่าน STOXX Europe 600 Travel & Leisure ที่เพิ่มขึ้นจากต้นปี 2566 ที่ 22%
ส่วนหุ้นของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น AOT ประมาณการกำไรปัจจุบันปี 2567 ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท โต 154% จากปี 2566 หรือคิดเป็น 95% ของของกำไรช่วงก่อนโควิด ต่ำกว่าประมาณการของ Bloomberg Consensus ณ 19 ธ.ค. 66 ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท ราว 3% จึงยังสามารถติดตามการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/67 (ต.ค.–ธ.ค. 66) อีกครั้งก่อนทบทวนประมาณการ ซึ่งในเชิงราคาหุ้น AOT ลบ 19.7% เริ่มทำให้ Risk to reward น่าสนใจ ในฐานะประตูหลักสู่ประเทศไทย ไม่ต้องเผชิญปัจจัยด้านการแข่งขันในประเทศ เมื่อเทียบกับหุ้นโรงแรมไทย
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มโรงแรม เนื่องจากคาดว่ากำไรมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งในปี 2567-2568 ซึ่งจะได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ อัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น และการขยายโรงแรมใหม่ เราเชื่อว่าราคาหุ้นได้สะท้อนประเด็นแนวโน้มกำไรหลักหดตัวในไตรมาส 4/66 ไปแล้ว ส่งผลให้คาดว่าโมเมนตัมเชิงบวกจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในไตรมาส 1/67 โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ของนักท่องเที่ยวชาวจีนและอัตรากำไรของธุรกิจอาหาร
ขณะที่ความต้องการการเดินทางเพื่อการพักผ่อนที่เพิ่มขึ้น และการฟื้นตัวของลูกค้าในกลุ่มที่มีเป้าหมายในการเดินทางเพื่อธุรกิจ (MICE) จะหนุนกำไรของกลุ่มโรงแรมในปี 2567 ให้สูงเป็นประวัติการณ์ หรือเติบโต 21% จากปีก่อน เราคาดอีกว่าตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สำคัญจะฟื้นตัวเต็มที่ เช่น ยุโรป เอเชียใต้ โอเชียเนีย และตะวันออกกลาง ขณะที่การฟื้นตัวช้าของนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยเฉพาะในกลุ่มทัวร์แบบหมู่คณะ จะส่งผลกระทบจำกัด เนื่องจากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ไม่ใช่เป้าหมายหลักของผู้ประกอบการโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวจากแผ่นดินใหญ่มีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายด้านที่พักน้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในขณะที่ระยะเวลาการเข้าพักจะค่อนข้างสั้นสำหรับแขกชาวจีน
อย่างไรก็ตาม หุ้นของบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น MINT ยังคงเป็นหุ้นเด่นของเรา เนื่องจากการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งและราคาหุ้นถูกที่สุด เราเชื่อว่าจำนวนลูกค้าองค์กรจะแตะจุดสูงสุดก่อนเกิดโรคระบาดในปี 2567 ซึ่งจะช่วยหนุนอัตราค่าห้องพักและการเติบโตของ ธุรกิจ F&B และอัตรากำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ เรายังแนะนำ ซื้อหุ้นของบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น CENTEL เนื่องจากรับอานิสงส์หลักจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวชาวจีน ท่ามกลางต้นทุนค่าอาหารและสาธารณูปโภคในประเทศที่ลดลง เราคาดการณ์ว่า CENTEL จะมีกำไรเติบโตสูงสุดในกลุ่มที่ระดับ 30% ต่อปีในช่วงปี 2567-2569 ขณะที่ราคาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่