หุ้น SCGD ต่ำจอง 12.17% ชี้ภาวะการลงทุนไม่เอื้อ ลุยขยายกำลังผลิตโตระยะกลาง-ยาว

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

หุ้น SCGD ต่ำจอง 12.17% ชี้ภาวะการลงทุนไม่เอื้อ ลุยขยายกำลังผลิตโตระยะกลาง-ยาว

Date Time: 20 ธ.ค. 2566 13:25 น.

Video

“The Summer Coffee Company” มากกว่า เครื่องดื่ม คือ ความสุข | Brand Story Exclusive EP.3

Summary

  • - SCGD ราคาเปิดเทรดวันแรกที่ราคา 10.10 บาท ต่ำจอง 12.17% จากราคาจองซื้อ 11.50 บาท ผลกระทบภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไม่เอื้อ เชื่อพื้นฐานธุรกิจยังแกร่ง
  • - ภาพรวมธุรกิจปี 67 ดีกว่าปีนี้ ใช้ประโยชน์หลังปรับโครงสร้าง โยกฐานผลิตไปเวียดนามจากต้นทุนต่ำ ลุยขยายกำลังการผลิตต่อเนื่อง เน้นศักยภาพเติบโตระยะกลาง-ยาว
  • - ระดมทุน 2.7 พันล้าน ขยายกำลังการผลิต ปรับปรุงร้านค้าปลีก เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต มองโอกาส M&A

Latest


ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น SCGD เข้าซื้อขายหุ้นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดตลาดที่ราคา 10.10 บาท ปรับตัวลดลง 1.40 บาท หรือ -12.17% ซึ่งต่ำกว่าราคาจองซื้อที่ 11.50 บาท ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นไทยที่ผันผวน ขณะที่ระหว่างวันราคาหุ้นยังเคลื่อนไหวในแดนลบ โดยปิดตลาดช่วงเช้าที่ราคา 10.20 บาท ลดลง 1.30 บาท หรือ -11.30%


พิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า ราคาที่ปรับตัวลดลงวันนี้ มองว่าเป็นผลจากภาวะตลาดหุ้นไทยที่ไม่เอื้อต่อการลงทุนเท่าไรนัก ขณะที่การเข้าไอพีโอครั้งนี้ถือเป็นการปรับโครงสร้างของบริษัท โดยเป็นการเข้าจดทะเบียนแทนบริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น COTTO ที่ได้รับการเพิกถอนหลักทรัพย์ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ มองว่าผู้ถือหุ้นบางส่วนอาจขายออกมาบ้างเป็นปกติ


ขณะเดียวกัน การตั้งราคาเสนอขายหุ้นไอพีโอนั้น มีการทำ Book Building ร่วมกับทีมนักวิเคราะห์เพื่อกำหนดราคาเสนอขาย พร้อมกับการนำเสนอข้อมูล (Roadshow) กับนักลงทุนสถาบัน พบว่าได้รับผลตอบแทนที่ดี ซึ่งหลังจากการปรับโครงสร้างแล้วเสร็จ เชื่อว่าจะเกิดการ synergy ของรายการต่างๆ ระหว่างกันในกลุ่มบริษัท ทำให้เกิดศักยภาพในการบริหารมากขึ้น และมีการเติบโตที่ดี


พร้อมกันนี้มั่นใจว่าพื้นฐานของบริษัทมีความแข็งแกร่ง เชื่อว่าทุกคนรู้จักบริษัทในเครือ SCG อยู่แล้ว และในภาพของการลงทุนต้องดูในระยะยาว โดยเชื่อมั่นว่าในอนาคตบริษัทจะสามารถให้ผลตอบแทนได้ดี หลังผู้บริหารมีแผนในการขยายธุรกิจเพิ่มเติมในอนาคต


ส่วนในแง่ภาวะความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อหุ้นไอพีโอนั้น มองว่าในช่วงที่ผ่านมาคนอาจยังไม่เชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทยมากนัก จากประเด็นต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ได้ออกมาให้ข้อมูลแก่นักลงทุน เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม มองว่าเมื่อใดที่ทุกคนมองว่าหุ้นไม่ดี นั่นเป็นโอกาสในการเข้าซื้อสะสม โดยเชื่อว่าภาพรวมตลาดหุ้นไทยปี 2567 จะดีกว่าปีนี้ จากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น หลังทิศทางดอกเบี้ยและเศรษฐกิจคลี่คลาย


นอกจากนี้ มองว่า SCGD เป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งในหลากหลายมิติ ทั้งจุดแข็งด้านการเป็นผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียน โดยมีส่วนแบ่งตลาดกระเบื้องเซรามิกเป็นอันดับ 1 ในไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ รวมถึงมีส่วนแบ่งตลาดสุขภัณฑ์เป็นอันดับ 1 ในไทย มีแบรนด์สินค้าเป็นที่รู้จักและครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม ช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมในทุกภูมิภาค และมุ่งเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้กระบวนการผลิตตามหลัก ESG 


ด้าน นำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD เปิดเผยว่า การปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งนี้ เพื่อให้ SCGD เป็นบริษัทแกนหลักของเอสซีจีในการดำเนินธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ ตลอดจนเสริมความแข็งแกร่งฐานะทางการเงินเพื่อรองรับแผนงานขยายธุรกิจ เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการและปรับโครงสร้างเงินทุน โดยเชื่อมั่นว่าด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจมากกว่า 40 ปี และแผนงานลงทุนขยายตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนจะสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น 


สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนมีมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งราว 2,300 ล้านบาท เป็นหุ้นไอพีโอซึ่งนำไปแลกกับหุ้นบริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น COTTO ส่วนที่เหลืออีก 2,700 ล้านบาท จะนำไปขยายกำลังการผลิตและขยายร้านค้าปลีก ดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและโรงงาน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท รองรับการขยายธุรกิจในอนาคต


ทั้งนี้ หลังจากบริษัทปรับโครงสร้างแล้ว จะสามารถปรับการใช้กำลังการผลิตในโรงงานทั้ง 4 ประเทศที่มีอยู่ให้มีความยืดหยุ่นและเหมาะสม เช่น การรวบรวมและโยกย้ายฐานการผลิตบางส่วนไปยังเวียดนาม ซึ่งมีความได้เปรียบจากต้นทุนการผลิตต่ำ นอกจากนี้ การปรับโครงสร้างจะทำให้บริษัทได้รับประโยชน์ด้านต้นทุน จากมีโอกาสต่อรองราคาวัตถุดิบได้มากขึ้น เพราะปริมาณการซื้อที่เพิ่มขึ้น


นอกจากนี้ เชื่อว่าภาพรวมธุรกิจปี 2567 จะเติบโตได้ดีกว่าปีนี้ หลังเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศ สนับสนุนการเติบโตในระยะกลาง-ยาว แม้ในระยะสั้นอาจประเมินได้ยากจากภาวะเศรษฐกิจผันผวน อย่างไรก็ดี บริษัทเห็นโอกาสจากการขยายตลาดสุขภัณฑ์และผลิตภัณฑ์วัสดุตกแต่งพื้นผิวที่หลากหลายยิ่งขึ้นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตได้อีกมากจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการเพิ่มขึ้นของจำนวนและรายได้ประชากร


โดยมีกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ ธุรกิจตกแต่งพื้นผิว ขยายผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่องในภูมิภาคอาเซียน  พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตเพื่อบริหารจัดการต้นทุน และมีแผนการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์รักษ์โลกและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยจะเพิ่มสัดส่วนสินค้า SCG Green Choice เป็น 80% ของยอดขายปี 2573 และมุ่งสู่ Net Zero Carbon ในปี 2593.

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ