นับเป็นโอกาสที่ดีของประเทศไทย หลัง เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 (UNGA78) ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา พร้อมหารือกับผู้ประกอบการ และสภาธุรกิจ สร้างความหวังในการดึงเม็ดเงินลงทุนจากผู้ประกอบการต่างชาติ ที่ต้องการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย ท่ามกลางความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์
จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA กล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (ยูเอ็น) และหารือกับภาคธุรกิจ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีนั้น เป็นการสะท้อนให้เห็นว่ามีการส่งสารอย่างชัดเจน ถึงการเปิดรับฐานทุนจากนักลงทุนต่างชาติของไทย ในการย้ายฐานการผลิตเข้ามา ซึ่งถือว่าเป็นภาพในเชิงบวกมาก
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เข้าหารือกับผู้ประกอบการเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถกระตุ้นเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติได้ ขณะที่ยังสามารถรักษาสมดุลนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับจีนได้ดี โดยมองว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากการเคลื่อนย้ายฐานทุน จากความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ต่อเนื่องอีก 2-3 ปีข้างหน้า
ขณะเดียวกัน บริษัทมั่นใจว่ารายได้ปี 2566 จะสามารถทำสถิติใหม่สูงสุด (All time high) และเติบโต 10% จากปีก่อนที่ทำได้ 1.58 หมื่นล้านบาท หลังบริษัทปรับเป้ายอดขายที่ดินปีนี้เพิ่มเป็น 2,750 ไร่ จากเดิมคาดอยู่ที่ระดับ 2,500 ไร่ เนื่องจากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในเวียดนามมีการเติบโตดี ซึ่งได้อานิสงส์จากผู้ประกอบการจีนย้ายฐานทุนมาลงทุนมากขึ้น อย่างไรก็ดี ปัจจุบันบริษัทมียอดขายที่ดินรอโอน (Backlog) ในมือประมาณ 1,000 ไร่ ซึ่งคาดว่าปีนี้จะสามารถโอนและรับรู้เป็นรายได้มากกว่าปีก่อน
พร้อมกันนี้ บริษัทอยู่เจรจาเพื่อเซ็นสัญญาซื้อขายที่ดินกับผู้ประกอบการรายใหญ่จากจีน ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ 1 ราย เพื่อลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย พื้นที่ประมาณ 600 ไร่ โดยจะเป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดในปีนี้ คาดว่าจะสามารถปิดดีลได้ภายในสิ้นปีนี้ถึงต้นปี 2567
สำหรับแผนการลงทุน บริษัทมีตั้งเป้าซื้อที่ดินเพิ่มต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่อยู่ในระดับสูง โดยยังเน้นการบริหารพื้นที่ในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) หลังปีนี้ตั้งงบลงทุนรวมไว้รวม 1.33 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น ธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม 5.4 พันล้านบาท ธุรกิจโลจิสติกส์ 4.4 พันล้านบาท ธุรกิจสาธารณูปโภค 3.3 พันล้านบาท และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับดิจิทัล 200 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ (REIT) ในช่วงไตรมาสที่ 4/66 คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 1.2 แสนตารางเมตร หรือมูลค่ารวม 3.5 พันล้านบาท.