ปัจจุบันการดำเนินแผนปฏิบัติการอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในโครงการที่ถือเป็นโอกาสของบริษัทในไทย คือ “ASEAN Power Grid” หรือ การขยายขอบเขตการแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงานในระดับภูมิภาค ส่งผลให้มีความต้องการใช้ไฟฟ้าจากต่างประเทศมากขึ้น
บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER ผู้ประกอบการธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายพลังงานสะอาด เล็งเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจจากโครงการดังกล่าว จากบริษัทมีเทคโนโลยี “Solar Hybrid” สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ 24 ชั่วโมง หนึ่งเดียวในไทย
จอมทรัพย์ โลจายะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างพูดคุยกับพันธมิตรในประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย จำนวน 2-3 ราย ที่มีสัมปทานขายไฟฟ้าในประเทศสิงคโปร์ เพื่อนำเทคโนโลยี Solar Hybrid เข้าไปเสนอเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขายไฟฟ้าให้มากขึ้น จากปัจจุบันสิงคโปร์มีความต้องการพลังงานทดแทนสูง และวางแผนจะซื้อไฟฟ้าจากอินโดนีเซีย และมาเลเซีย จากโครงการ “ASEAN Power Grid”
ทั้งนี้ การหาพันธมิตรเข้ามาร่วมในโครงการต่างๆ ถือเป็นเป้าหมายที่บริษัทมุ่งเน้นและจะเดินหน้าต่อไป โดยมองว่าการร่วมลงทุนกับบริษัทขนาดใหญ่ จะทำให้บริษัทมีอัตราการเติบโตได้เร็วขึ้น ทั้งการขยายธุรกิจในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม และโรงไฟฟ้าขยะ
ขณะเดียวกัน บริษัทเดินหน้าขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในโครงการโรงไฟฟ้าต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายในปี 2568 จะมีกำลังการผลิตที่ 1,833 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีอยู่ 1,592 เมกะวัตต์ คาดว่าจะทำให้รายได้เติบโตไปที่ 12,007 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากประเทศไทย 63% และในเวียดนาม 37% จากทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไทย-เวียดนาม โรงไฟฟ้าขยะ โรงไฟฟ้าพลังงานลม และรายได้อื่นๆ โดยบริษัทมุ่งเน้นการขายไฟฟ้าและประมูลโครงการในรูปแบบสัญญาสัมปทานให้กับภาครัฐเป็นหลัก
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนลดดอกเบี้ย โดยเฉพาะจากเงินกู้ต่างประเทศ จากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอยู่ในระดับสูงที่ราว 8% โดยมีแนวทางการนำเงินจากการดำเนินการที่ได้รับในโครงการโรงไฟฟ้าต่างๆ เร่งนำมาใช้หนี้สถาบันการเงิน ทำให้ความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม จอมทรัพย์ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับภาวะตลาดหุ้นกู้ที่ซบเซาในช่วงนี้ เชื่อว่าจะไม่กระทบการออกหุ้นกู้ของ SUPER เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่น ต่อพื้นฐานธุรกิจที่เป็นสัมปทาน จากปัจจุบันบริษัทมีรายได้แน่นอนรองรับในระยะกว่า 17 ปี ข้างหน้า ทำให้มีความมั่นใจว่าบริษัทมีความสามารถในการชำระหนี้ได้