สภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงมีความท้าทาย จากความเสี่ยงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะในทวีปยุโรป จากทั้งประเด็นเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง กดดันให้การเติบโตของภาคการผลิตต่ำกว่าคาดการณ์ในไตรมาส 2/66 ที่ผ่านมา ส่งผลให้อุปสงค์ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีลดลง
จากสถานการณ์ความผันผวนดังกล่าว ทำให้ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น IVL ผู้ประกอบธุรกิจด้านการลงทุนโดยการถือหุ้นในบริษัทต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีแบบครบวงจร ซึ่งผลิตและจำหน่าย Ethylene Oxide และ Ethylene Glycol เร่งหาแนวทางแก้ไขและรักษาผลประกอบการของบริษัท และตั้งเป้าในการรักษากระแสเงินสด พร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อการดำเนินงานที่ดีของบริษัท
ล่าสุด IVL รายงานผลประกอบการ 6 เดือนแรกของปี 2566 มีรายได้อยู่ที่ 276,993.34 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,434.53 ล้านบาท โดยฝ่ายบริหาร เชื่อว่าสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกจะยังคงซบเซาส่งผลให้เกิดการชะลอตัวในอุปสงค์ ในขณะที่การลดระดับสินค้าคงเหลือสิ้นสุดลงเกือบทั้งหมดในธุรกิจของบริษัทแล้ว
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายบริหารของ IVL ยังมองว่าบริษัทมีผลกำไรที่ดีข้ึน เกิดจากการมุ่งคำนึงถึงต้นทุนและใช้โอกาสจากช่วงที่มีอุปสงค์ต่ำ ดำเนินการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์ บริษัทมีการทบทวนการจัดสรรเงินลงทุนอย่างเคร่งครัดเพื่อการรักษาระดับเงินสดและลดต้นทุนทางการเงิน
ส่วนแผนการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศจีน จะทำให้ห่วงโซ่ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีปรับตัวดีขึ้น และบริษัทเห็นว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ในระดับสากลได้ฟื้นตัวข้ึนแล้ว และบริษัทคาดหวังว่าการดำเนินงานจะสะท้อนถึงผลประกอบการที่ดีข้ึนมากกว่าในครึ่งแรกของปี 2566 และการจัดวางตำแหน่งของบริษัทเอง สำหรับช่วงกลางวงจรในอนาคตของปี 2567
ด้าน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มีความเห็นเป็นกลางต่อมุมมองผู้บริหาร ต่อการฟื้นตัวของอัตรากำไรในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ตามอุปสงค์ที่ฟื้นตัว และการระบายสินค้าคงเหลือที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก สอดคล้องกับมุมมองของเรา
ขณะเดียวกัน คงมุมมองกำไรปกติในช่วงครึ่งปีหลัง ฟื้นตัวจากครึ่งปีแรก เพราะแรงกดดันของการระบายสินค้าคงเหลือที่ลดลง และอุปสงค์จีนฟื้นเร่งขึ้น ส่งให้การแข่งขันลดลง หนุนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ฟื้นตัว
ทั้งนี้ คงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” หรือ Trading Buy ที่ราคาเป้าหมาย 38.50 บาทต่อหุ้น โดยรอดูความชัดเจนการฟื้นตัวของธุรกิจ PET และธุรกิจ IOD ในไตรมาส 3/66 ค่อยเป็นจังหวะเข้าซื้อเก็งกำไรจากการฟื้นตัวในปี 2567
ขณะที่ บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ปรับลดคำแนะนำเป็น “ซื้อเมื่ออ่อนตัว” จากการปรับลดประมาณการกำไร ทำให้เราต้องปรับลดราคาเป้าหมายลงด้วย ได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 38 บาท โดยมองว่ากำไรไตรมาส 3/66 อาจยังอยู่ในโซนต่ำ แต่จะไปพลิกฟื้นได้ดีในไตรมาส 4/66 จากฐานเปรียบเทียบที่ต่ำ
ทั้งนี้ คาดปริมาณขายในช่วงครึ่งปีหลังจะเพิ่มขึ้นจาก 7.07 ล้านตัน เป็น 7.67 ล้านตัน หรือเติบโต 8% จากครึ่งปีแรก ด้วยแรงหนุนจากการขยายกำลังผลิตในสหรัฐฯ และอินเดีย สถานการณ์การจัดการสินค้าคงเหลือดีขึ้น และความต้องการในกลุ่มยานยนต์ฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม เราก็มองว่าอัตรากำไรยังไม่น่าฟื้นตัวมากนัก ตามราคาวัตถุดิบที่พุ่งขึ้นสูงตามราคาน้ำมันดิบ โดยสเปรดในเดือน ก.ค. อ่อนตัวจากเดือนมิ.ย. ค่อนข้างมาก ทั้งนี้ ด้วยกำไรครึ่งปีแรก ทำได้เพียง 1.4 พันล้านบาท ทำให้เราต้องปรับประมาณการกำไรในปี 2566 ลงเหลือ 7.0 พันลบ. หรือลดลง -77% จากปีก่อน