บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทได้เพื่อดำเนินการในการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทได้ยื่น แบบประกาศเจตนาในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ (แบบ 247-3) ของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ทั้งนี้บริษัทได้ดำเนินการตามเงื่อนไขข้อบังคับก่อนการเข้าซื้อหุ้น ESSO เสร็จสิ้นแล้วทั้งหมดในราคาซื้อขายสุดท้ายสำเร็จเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2566 ที่ราคา 9.8986 บาทต่อหุ้น บริษัทคาดว่าจะดำเนินการซื้อหุ้นสามัญของ ESSO จำนวน 2,283,750,000 หุ้น หรือคิดเป็น 65.99% จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte.Ltd (ผู้ขาย) ในมูลค่า 22,605,926,000 บาท หรือคิดเป็นราคา 9.8986 บาท/หุ้น และจะชำระราคาค่าหุ้นสามัญให้กับผู้ขายในวันที่ 31 ส.ค.นี้
ทั้งนี้ บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า การที่ BCP จะดำเนินการเข้าทำคำเสนอหุ้นที่เหลือของ ESSO สัดส่วน 34.01% ในช่วงต้นเดือน ก.ย. 66 ในราคาเดียวกันที่ 9.8986 บาทต่อหุ้น และคาดการทำ TENDER จะแล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค. 66 หลังจากรวมงบการเงิน และราคาเข้าซื้อ ESSO ในประมาณการตั้งแต่เดือน ต.ค. 66 มูลค่าพื้นฐานสิ้นปี 2566 จะอยู่ที่ 40 บาทต่อหุ้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้น ปรับตัวขึ้นสะท้อนทั้งประเด็นเข้าซื้อ ESSO รวมถึง OUTLOOK ค่าการกลั่นที่ เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด ไปแล้วในระดับหนึ่งจน UPSIDE จำกัดมากขึ้น ดังนั้นจึงแนะนำ เพียง TRADING ช่วงสั้นตามกระแสการเข้าซื้อ ESSO และค่าการกลั่น
BCP และ ESSO ตกลงราคาซื้อขายสุดท้ายตามสัญญาซื้อขายหุ้นที่ได้ลงนามไป เมื่อ 11 ม.ค. 66 หลังจากประชุมคณะกรรมการบริษัท BCP มีมติอนุมัติให้เข้าซื้อ หุ้นสามัญบริษัทเอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ในสัดส่วน 65.99% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมด (หรือราว 2.28 พันล้านหุ้น) จากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ ESSO บริษัท เอ็กซอนโมบิล เอเชีย โฮลดิ้ง พีทีอี แอลทีดี (ExxonMobil) โดยการทำธุรกรรมซื้อขายหุ้นนี้จะไม่รวมการได้ไปซึ่งธุรกิจ น้ำมันหล่อลื่นสำเร็จรูปภายใต้ตรา ExxonMobil และ OEM และธุรกิจการตลาด เคมีภัณฑ์ภายใต้ตรา ExxonMobil ซึ่ง ExxonMobil ได้ระบุว่ามีความตั้งใจที่จะจัดตั้งบริษัทใหม่เพื่อประกอบธุรกิจดังกล่าวในประเทศไทย
โดยการกำหนดราคาสุดท้ายเสร็จสิ้นเมื่อ 25 ส.ค. 2566 ที่ราคา 9.8986 บาทต่อ หุ้น โดย BCP จะชำระค่าหุ้นสามัญจำนวน 2.28 พันล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 65.99% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ ESSO คิดเป็น มูลค่ารวมราว 2.26 หมื่นล้านบาท ในวันที่ 31 ส.ค. 2566 นี้ ถือเป็นการเปลี่ยน อำนาจควบคุม ทั้งนี้ BCP จะดำเนินการเข้าทำคำเสนอหุ้นที่เหลือของ ESSO สัดส่วน 34.01% (หรือราว 1.18 พันล้านหุ้น) ในช่วงต้นเดือน ก.ย. 66 ในราคาเดียวกันที่ 9.8986 บาทต่อหุ้น และคาดการทำ tender จะแล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค. 66
อย่างไรก็ตามผู้บริหารเปิดเผยว่าหากทำ tender ได้ไม่ครบจำนวน ก็ไม่มี แผนที่จะซื้อเพิ่มในตลาดฯ ให้ครบ เพราะสัดส่วนหลัก 65.99% ใน ESSO ก็ถือว่ามี อำนาจควบคุมแล้ว
บางจาก ขึ้นโรงกลั่นใหญ่ขุดในไทย หลังดีลจบ
เพิ่มขนาดธุรกิจโรงกลั่นใหญ่สุดในประเทศ และปั๊มส่วนแบ่ง ตลาดขึ้นเป็นอันดับ 2 สำหรับในส่วนของแหล่งเงินทุนที่ใช้ซื้อกิจการ ESSO จะมาจากเงินกู้ยืมจาก สถาบันการเงินในสัดส่วนราว 50% และกระแสเงินสดที่อยู่ในมือซึ่งปัจจุบัน BCP มี อยู่ราว 2.0 หมื่นล้านบาท โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน ซึ่งหลังจากการเข้าซื้อกิจการ เป็นที่เรียบร้อย ภายใต้สมมติฐานเข้าถือหุ้น 100% ใน ESSO คาดจะส่งผลให้ อัตราส่วน Debt to Equity เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.3 เท่า ยังต่ำกว่า Bank และ Bondholder Covenant ที่ 2.0 เท่า นอกจากนี้หลังจากการควบรวมกิจการเป็นที่เรียบร้อยจะส่งผลให้กำลังการกลั่น ติดตั้ง (Nameplate Capacity) ของ BCP เพิ่มขึ้นเป็น 2.94 แสนบาร์เรลต่อวันจากปัจจุบันอยู่ที่ 1.2 แสนบาร์เรลต่อวัน เป็นโรงกลั่นที่ขนาดกำลังการผลิตที่ใหญ่ ที่สุดในประเทศไทย
และเกิดความยืดหยุ่นในความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป รวมถึงสามารถน้ำมันดิบได้หลากหลายประเภทมากขึ้น นอกจากนี้อีกส่วนที่สำคัญในการเข้าซื้อกิจการ ESSO คือจะส่งผลให้ธุรกิจ การตลาด (Retail Marketing) ขึ้นอยู่ในอันดับ 2 ในส่วนของส่วนแบ่งการตลาด ด้านปริมาณขายที่ 29.1% (อันดับ 1 คือ OR ที่ 39.0%) รวมถึงเป็นการกระจาย สถานีบริการน้ำมันไปทั่วภูมิภาคของประเทศด้วยจำนวนสถานีบริการเพิ่มขึ้น 2.1 พันสถานีบริการ (BCP 1.3 พันสถานี + ESSO 780 สถานี) และคาดจะมี Synergy เกิดขึ้น โดยในส่วนของมูลค่า Synergy ที่คาดจะเกิดขึ้นผู้บริหารยังไม่เปิดเผย