เป็นที่น่าจับตา สำหรับกลุ่มบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ผู้ผลิตและส่งออกอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งและบรรจุกระป๋องรายใหญ่ของไทย ที่แม้มีการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/66 ออกมา กำไรสุทธิลดลงจากอัตราแลกเปลี่ยน และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทย่อย แต่กำไรจากการดำเนินงานปกติยังสามารถเติบโตได้จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดย TU มีบริษัทย่อยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เศรษฐกิจ โดยมีผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ อาหารกุ้ง อาหารปลา และอาหารสัตว์บก และ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง
วันนี้ #ThairathMoney จะพาไปส่องความคิดเห็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ต่อแนวโน้มผลประกอบการของกลุ่มไทยยูเนี่ยนในอนาคต ว่าจะมีทิศทางเป็นอย่างไร และจะน่าสนใจในการเข้าลงทุนมากแค่ไหน
TU นำทัพผลงานฟื้น นักวิเคราะห์ชี้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว
สำหรับหุ้นของบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ประเมินว่าระดับสต๊อกสินค้าของลูกค้าในยุโรปและสหรัฐฯ จะลดลงสู่ระดับใกล้เคียงปกติได้มากขึ้นในไตรมาสที่ 3/66 หนุนปริมาณคำสั่งซื้อให้กลับมาเร่งตัว ประกอบกับเป็นช่วง High Season ของธุรกิจ
ทำให้เบื้องต้นประเมินว่ากำไรในไตรมาส 3/66 จะเติบโตได้จากไตรมาสก่อน อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดกำไรจะยังชะลอลงจากฐานสูง ประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบปลาทูน่าที่สูงขึ้น แต่คาดจะเริ่มเห็นการชะลอลงของราคาต้นทุนปลาทูน่าในไตรมาส 4/66 จากความต้องการขายปลาที่จะมากขึ้น หลังผ่านพ้นช่วงฤดูกาลงดจับปลาในช่วงไตรมาส 3/66
ทั้งนี้ คงคาดการณ์กำไรปกติปี 2566 ของหุ้น TU ที่ 4,430 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 38.5% จากปัจจัยกดดันด้านปริมาณขายที่ชะลอตัวและต้นทุนปลาที่สูงขึ้น แต่ประเมินว่าผลประกอบการรายไตรมาสของ TU ผ่านจุดต่ำสุดไปในไตรมาส 1/66 และด้วยแนวโน้มกำไรที่คาดจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ทำให้มองว่าราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อนผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรกที่อ่อนแอไปแล้ว และคาดจะเห็นการทยอยฟื้นตัวได้ในช่วงที่เหลือของปี
อย่างไรก็ตาม มีมุมมองเป็นบวกจากกำไรไตรมาส 2/66 ที่ออกมาดีกว่าคาดมาก คงราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี ที่ 15.60 บาท มี Upside gain 14.7% ราคาปัจจุบันซื้อขายบนพีอีปี 66-67 เพียง 14.6 และ 10.6 เท่า ตามลำดับ คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายมี Upside จากโอกาสที่บริษัทอาจพิจารณาตัดลดทุนตามจำนวนหุ้นซื้อคืน 116.68 ล้านหุ้น หรือเป็นสัดส่วนราว 2.5% ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้วทั้งหมด
TFM ลุ้นกำไรครึ่งปีหลังดี 3 โบรกเกอร์พร้อมใจเชียร์ “ซื้อ”
ด้านข้อมูลวิเคราะห์หลักทรัพย์ โดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA Consensus) ซึ่งเผยแพร่ใน “settrade” ระบุนักวิเคราะห์ให้ความเห็นต่อหุ้นบริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ไปในทิศทางเดียวกัน โดยให้คำแนะนำ ซื้อ จำนวน 3 บริษัทหลักทรัพย์ นำโดย บริษัทหลักทรัพย์ พาย ให้ราคาเป้าหมายสูงสุด 10.10 บาท บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง ให้ราคาเป้าหมายพื้นฐาน 10.00 บาท และบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย ให้ราคาเป้าหมาย 9.60 บาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย ให้ความเห็นไว้ในบทวิเคราะห์ว่า แม้กำไรสุทธิในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 คิดเป็นสัดส่วนเพียง 17% ของกำไรทั้งปี ที่ประเมินไว้ที่ 116 ล้านบาท แต่ด้วยแนวโน้มที่เริ่มดีขึ้นในไตรมาสที่ 2/66 ทำให้มองว่าระดับกำไรดังกล่าวยังมีความเป็นไปได้อยู่ จึงยังคงประมาณการกำไรทั้งปีไว้เท่าเดิม และด้วยแนวโน้มผลประกอบการที่เริ่มเห็นการฟื้นตัวหลังปรับกลยุทธ์ใหม่นี้ คงคำแนะนำซื้อด้วยราคาเหมาะสม 10.10 บาท
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง ระบุความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ประมาณการกำไรหลักไตรมาส 3/66 ที่ 75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 25% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องช่วงไฮซีซั่นของฤดูกาลเพาะเลี้ยงปลากะพงของประเทศไทย และต้นทุนวัตถุดิบที่คาดว่าจะลดลง 3-5% จากไตรมาสก่อน ถึงแม้ว่าช่วงไฮซีซั่นของการเพาะเลี้ยงกุ้งในประเทศไทยปีนี้อาจจะเลื่อนออกไปจากไตรมาส 3/66 ไปเป็นไตรมาส 4/66 เนื่องจากราคากุ้งไทยที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของต้นทุนวัตถุดิบเห็นราคากากถั่วเหลืองในประเทศปรับตัวลดลงแล้ว คาดอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/66 ที่ 11.5% เพิ่มขึ้นจาก 11.1% ในไตรมาส 3/65 และ 9.1%ในไตรมาส 2/66 คงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ที่ราคาเป้าหมายพื้นฐาน 10.00 บาท เนื่องจากการคาดการณ์กำไรที่จะกลับมาฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องไปในไตรมาส 3/66 หลังจากที่ผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 1/66
ITC นักวิเคราะห์แนะ “ถือ” รอยอดขายเติบโตปี 2567
สำหรับหุ้นของบริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC นั้น นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ให้ความเห็นไว้ในบทวิเคราะห์ว่า คงแนะนํา “ถือ“ ให้ราคาเป้าหมายครึ่งแรกของปี 2567 ท่ี 21.00 บาท จากอิงพีอีท่ี 21.7 เท่า ใกล้เคียงระดับ บริษัทฯท่ีประกอบธุรกิจใกล้เคียงในตลาด โดยรอการกลับมา Recorder สินค้าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และคาดว่าปี 2567 ITC จะกลับมาเติบโตได้หลังจากที่ต้นทุนและแรงกดดันจากเงินเฟ้อจะลดลง รวมถึงการกลับมาสั่งสินค้าตามปกติ หลังจากหมดช่วงการระบายสินค้าออก (Destocking)
อย่างไรก็ตาม ยังคงคาดการณ์กําไรปี 2566-2567 ที่ 2.17 พันล้านบาท และ 3.43 พันล้านบาท ตามลําดับ โดยยอดขายในช่วงครึ่งแรกปีนี้ อยู่ที่ 6.38 พันล้านบาท ปรับตัวลดลงจากปีก่อน 34.3% จากกลุ่มลูกค้าที่ยังคงอยู่ในช่วง Destocking และยาวนานกว่าคาด ในขณะที่สัดส่วนจากสินค้ากลุ่มพรีเมียมมีการปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 44.1% จาก 49.3% ในปี 2565 จากผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อของยุโรปที่อยู่ระดับสูง ส่งผลให้ภาคครัวเรือนมีการใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง
อย่างไรก็ดี ในไตรมาสที่ 3/66 ธุรกิจกลุ่ม Pet treats จะดีขึ้นทั้งยอดขายและสัดส่วน เนื่องจากคาดว่าจะมีการสั่งสินค้าเพิ่มขึ้นจาก 12 ตู้ เป็น 20 ตู้ และราคาทูน่าช่วงไตรมาสที่ 3/66 ยังใกล้เคียงไตรมาส 2/66 และจะลดลงในไตรมาส 4/66 โดยคาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 จะมีผลประกอบการที่เติบโตจากครึ่งปีแรกได้ แต่คาดปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากฐานที่สูง จากการกักตุนสินค้าท่ีสูงกว่าปกติ