ดอนเมืองโทลล์เวย์ โชว์งบ Q2 กำไรทะลุ 233 ล้าน พุ่ง 25% รับผลคนใช้ทางด่วนทะลัก

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ดอนเมืองโทลล์เวย์ โชว์งบ Q2 กำไรทะลุ 233 ล้าน พุ่ง 25% รับผลคนใช้ทางด่วนทะลัก

Date Time: 10 ส.ค. 2566 15:44 น.

Video

"CINDY CHAO The Art Jewel" สองทศวรรษอัญมณีศิลป์ | Brand Story Exclusive EP.4

Summary

  • DMT รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 รายได้ค่าผ่านทางโต 31% กำไรพุ่ง 25% จากงวดเดียวกันกับปีก่อน โดยมีปริมาณจราจรโดยเฉลี่ยต่อวันรวม 102,165 คัน เพิ่มขึ้น 29%

Latest


บมจ.ทางยกระดับดอนเมือง (DMT) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 รายได้ค่าผ่านทางโต 31% กำไรพุ่ง 25% จากงวดเดียวกันกับปีก่อน โดยมีปริมาณจราจรโดยเฉลี่ยต่อวันรวม 102,165 คัน เพิ่มขึ้น 29% บอร์ดไฟเขียวปันผลระหว่างกาลอีก 0.35 บาท/หุ้น กำหนดจ่าย 8 ก.ย. นี้ ด้านผู้บริหารมั่นใจรายได้ปีนี้โตเกิน 30% รับท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง หนุนปริมาณจราจรบนทางยกระดับดอนเมืองปรับตัวเพิ่มขึ้น


ดร.ศักดิ์ดา พรรณไวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ DMT เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทฯ ในไตรมาส 2 ปี 2566 เทียบกับไตรมาสเดียวกันปี 2565 มีปริมาณจราจรโดยเฉลี่ยต่อวันรวม 102,165 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 โดยมีรายได้ค่าผ่านทาง 553.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31 และกำไรสุทธิ 233.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25


ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ในปี 2566 เติบโตมากกว่า 30% จากปีก่อน โดยคาดการณ์ปริมาณการจราจรเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 110,000 คันต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีปริมาณการจราจรเฉลี่ยอยู่ที่ 85,000 คันต่อวัน 


ทั้งนี้ ประเมินแนวโน้มปริมาณจราจรในไตรมาสถัดไป พบว่า ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกิดจากความมั่นใจในการออกมาใช้ชีวิตและประกอบกิจการ รวมถึงกิจกรรมการเดินทางหลักในภาคการศึกษายังคงส่งผลให้การเดินทางในช่วงเปิดเทอมสูงขึ้นและในฤดูฝนผู้ใช้ทางเลือกที่จะใช้บริการบนทางยกระดับเพื่อความรวดเร็วหลีกหนีการจราจรแออัดบนถนนทั่วไป ด้านการติดตามการระบาดของโควิด-19 ถือว่าได้ถึงระยะสิ้นสุดการระบาดแล้ว และจะไม่มีการจำกัดการเดินทาง การล็อกดาวน์อีกต่อไป จึงเชื่อมั่นว่าหลังจากนี้ไปกิจกรรมทุกอย่างจะทยอยกลับไปสู่สภาวะปกติเหมือนก่อนการระบาดของโควิด-19


รวมไปถึง นโยบายการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น ซึ่งประเทศไทยเป็นเป้าหมายลำดับต้นๆ ที่นักท่องเที่ยวต้องการเดินทางมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนที่จะทำให้อุตสาหกรรมภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง และจะทำให้ปริมาณการเดินทางโดยรวมเพิ่มขึ้น และคาดการณ์ว่าจะมีเที่ยวบินจากสายการบินนานาชาติเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันสนามบินสุวรรณภูมิมีปริมาณการเดินทางที่หนาแน่นใกล้เคียงก่อนการระบาดของโควิด-19 อาจจะทำให้มีการพิจารณาให้กลับมาใช้ อาคาร 1 สนามบินดอนเมืองที่เป็นจุดเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ ขณะที่การติดตามแผนการขยายท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 มีความคืบหน้าในการดำเนินโครงการแล้ว แสดงให้เห็นว่าการเดินทางด้วยอากาศยานมีแนวโน้มขยายตัวหลังจากนี้ จะส่งผลให้ปริมาณจราจรบนทางยกระดับดอนเมืองสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 


ส่วนการติดตามปริมาณการเดินทางของรถไฟฟ้าสายสีแดงที่อยู่ติดกับทางยกระดับดอนเมืองนั้น พบว่า กลุ่มผู้ใช้รถไฟฟ้าสายสีแดงเป็นคนละกลุ่มกับผู้ใช้ทางยกระดับดอนเมือง อีกทั้งการใช้รถไฟฟ้าสายสีแดงปัจจุบัน พบว่า ค่าใช้จ่ายในการเดินทางรวมการเดินทางเชื่อมต่อและเข้าถึงสถานี (Feeder) ยังสูงกว่าการใช้ทางยกระดับ คาดการณ์ว่า ยังไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเดินทาง และอยู่ในการติดตามพฤติกรรมการเดินทางโดยรอบทางยกระดับดอนเมืองของบริษัทฯ โดยรถยนต์ยังคงมีความจำเป็นในระบบคมนาคมขนส่งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อีกทั้งนโยบายสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทำให้ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการเดินทางด้วยรถยนต์ต่ำลงอีกด้วย


ดร.ศักดิ์ดา กล่าวอีกว่า ด้วยผลประกอบการที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง รวมทั้งการบริหารต้นทุนทางการเงินและผลตอบแทนจากการลงทุนที่เกิดประโยชน์สูงสุด บริษัทฯ เบิกใช้วงเงินหมุนเวียน ระยะเวลา 1-3 เดือน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 มีภาระหนี้สินที่มีดอกเบี้ยกับสถาบันการเงิน จำนวน 850 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เท่ากับ 0.19 เท่า และมีวงเงินหมุนเวียนเพื่อสำรองไว้ใช้ในกิจการซึ่งยังมิได้เบิกใช้เป็นจำนวนเงินรวม 350 ล้านบาท (31 ธันวาคม 2565 : 1,000 ล้านบาท) โดยบริษัทฯ มีความพร้อมในการขยายกิจการโดยเข้าร่วมประมูลโครงการที่ภาครัฐเปิดประมูลเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมลงทุน (Public-Private Partnership) ในอนาคต


นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเห็นชอบการจัดสรรกำไรเป็นเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 ในอัตราหุ้นละ 0.70 บาท ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จดทะเบียนและรับชำระแล้วจำนวน 1,181,232,800 หุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 826,862,960 บาท ซึ่งบริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานงวด 3 เดือนแรก ในอัตราหุ้นละ 0.35 บาท เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 413,431,480 บาท เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2566 แล้ว


ดังนั้น บริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2566 ส่วนที่เหลือ ในอัตราหุ้นละ 0.35 บาท ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จดทะเบียนและรับชำระแล้วจำนวน 1,181,232,800 หุ้น เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 413,431,480 บาท โดยจ่ายจากกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 6 เดือนแรก ของปี 2566  ในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 236,246,560 บาท และจ่ายจากกำไรสะสมในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 177,184,920 บาท บริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 กันยายน 2566


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ