กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน 3 บริษัทขนาดใหญ่ของไทย เดินหน้าประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 พร้อมกัน โดยพบว่า มีผลประกอบการที่ลดลงอย่างมาก ผลจากสต๊อกราคาน้ำมันที่ลดลง และราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ลดลงแรง
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2566 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 146,731 ล้านบาท ใกล้เคียงกับในไตรมาส 1/2566 แต่ปรับตัวลดลง 25% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยรายได้รวมในไตรมาสนี้ปรับตัวลดลงโดยหลักจากกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น โดยเฉพาะธุรกิจโรงกลั่นที่ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับตัวลดลง สอดคล้องกับราคาน้ำมันดิบที่ลดลง แม้ว่ารายได้จากธุรกิจปิโตรเคมีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับปริมาณขาย และอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้นในไตรมาสนี้
ทั้งนี้ ธุรกิจปิโตรเคมีโดยรวมยังคงอยู่ในภาวะอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับความกดดันจากปัจจัยทั้งในด้านภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ปลายทางของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี และการเริ่มดำเนินการของกำลังการผลิตใหม่ในตลาด โดยเฉพาะจากประเทศจีน ส่งผลให้การดำเนินงานของบริษัทร่วมทุน โดยเฉพาะในธุรกิจปิโตรเคมี ได้รับผลกระทบ ส่งผลให้บริษัทฯ ยังคงรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในไตรมาสนี้ จำนวน 405 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า
และมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันและรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ ผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน และกำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน ผลกำไรจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง รายการพิเศษอื่นๆ) จำนวน 2,620 ล้านบาท
โดยบริษัทฯ รับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติ ได้แก่ ผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน และรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Loss Net NRV) รวม 2,659 ล้านบาท ผลกำไรจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง 327 ล้านบาท ผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน และผลกำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงินรวมเป็นขาดทุน 1,047 ล้านบาท
บริษัทฯ มีการบันทึกรายการพิเศษในไตรมาส 2/2566 ได้แก่ กำไรจากการขายสินทรัพย์สุทธิของบริษัท allnex โดยเป็นการขายและเช่ากลับคืน ทำให้รับรู้กำไรจากรายการดังกล่าวสุทธิที่จำนวน 485 ล้านบาท ส่งผลให้ในไตรมาส 2/2566 บริษัทฯ รายงานผลขาดทุนสุทธิ 5,591 ล้านบาท (-1.24 บาท/หุ้น)
ไทยออยล์ กำไรเหลือ 1,117 ล้านบาท
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 มีรายได้จากการขาย 108,467 ล้านบาท ลดลง 7,476 ล้านบาท ตามราคาขายเฉลี่ยที่ปรับลดลง และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจาก 3 สต๊อกน้ำมัน อยู่ที่ 6.1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 5.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาน้ำมันอากาศยาน/น้ำมันก๊าด และส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ปรับตัวลดลงหลังอุปทานน้ำมันจากรัสเซีย ยังซื้อขายในตลาดได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งด้านตลาดสารอะโรเมติกส์ แม้ว่าส่วนต่างราคาสารพาราไซลีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ปรับตัวดีขึ้นจากตลาดที่ได้รับแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ในช่วงปลายฤดูร้อนในเอเชีย แต่ส่วนต่างราคาสารเบนซีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ปรับลดลง เนื่องจากอุปสงค์ของสารเบนซีนที่ปรับตัวลดลง และความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ทั้งนี้ กลุ่มไทยออยล์มีขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 1,929 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2/66 โดยขาดทุนสต๊อกน้ำมันลดลง 1,410 ล้านบาท จาก ไตรมาสที่ 1/66 อย่างไรก็ตาม มีการกลับรายการมูลค่าสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 15 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2/66 เทียบกับรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 207 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/66
เมื่อรวมผลกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงสุทธิ (รวมเฉพาะรายการที่เกิดจากการป้องกันความเสี่ยง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์) 449 ล้านบาทแล้ว กลุ่มไทยออยล์มี EBITDA 4,618 ล้านบาท ลดลง 3,564 ล้านบาท จากไตรมาสที่ผ่านมา อีกทั้งในไตรมาสที่ 2/66 กลุ่มไทยออยล์มีผลขาดทุนจากเครื่องมือทางการเงินจำนวน 187 ล้านบาท เทียบกับผลกำไรจากเครื่องมือทางการเงินจำนวน 158 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/66
นอกจากนี้ มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 1,017 ล้านบาท (โดยเป็นขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิของสินทรัพย์ และหนี้สินที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศ จำนวน 705 ล้านบาท) เทียบกับผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 571 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/66 เนื่องจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าจาก ณ สิ้นไตรมาสก่อน เมื่อหักค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว ทำให้ในไตรมาสที่ 2/66 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 1,117 ล้านบาท หรือ 0.50 บาทต่อหุ้น ลดลง 3,437 ล้านบาท จากไตรมาสก่อน
BCP กำไรลด 91%
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2/2566 กลุ่มบริษัทบางจาก มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 68,023 ล้านบาท ลดลง 15% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง -19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมี EBITDA 6,628 ล้านบาท ลดลง 40% จากไตรมาสก่อน และลดลง 47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสนี้กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ได้รับปัจจัยกดดันจากราคาน้ำมันดิบ และผลิตภัณฑ์ที่ปรับลดลงต่อเนื่อง จากอุปสงค์ทั่วโลกถูกกดดันภายใต้เศรษฐกิจอ่อนแอจากภาวะเงินเฟ้อ
ประกอบกับอุปสงค์ในจีนยังคงอ่อนแอ และมีอุปทานส่วนเกินล้นตลาด ส่งผลให้กลุ่มบริษัทบางจาก มี Inventory Loss 1,036 ล้านบาท ประกอบกับปริมาณการ จำหน่ายที่ลดลงของธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ เนื่องจากในไตรมาสที่ 1/2566 มีปริมาณการจำหน่ายมากกว่ากำลังการผลิตตามสัญญาอย่างมีนัยสำคัญ (Overlift) อย่างไรก็ดี กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในประเทศ สปป. ลาว ได้เริ่มดำเนินการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ไปยังประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ตามสัญญาซื้อขายไฟกับ EVN ในเดือน มิ.ย. 66 หลังจากหยุดการผลิตในไตรมาสที่ 1/2566 โดยในไตรมาสนี้ มีกำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 458 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 83% และลดลงจากปีก่อน 91% คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.24 บาท.