ตลาดหุ้นไทยเผชิญความท้าทายอย่างหนัก จากทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ ที่ส่งผลต่อภาพรวมภาวะตลาดหุ้น รวมถึงมีปัจจัยเฉพาะตัวของหุ้นบางกลุ่มในตลาดหลักทรัพย์ ที่กดดันความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างหนัก ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน ส่งผลกระทบถึงหุ้นไอพีโอที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ช่วงที่ผ่านมาติดลบอย่างหนัก
ล่าสุดบริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG ผู้ประกอบการธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายเนย ชีส วัตถุดิบเบเกอรี่ และอาหารตะวันตก ภายใต้แบรนด์ที่คุ้นตาอย่างคุกกี้กล่องแดง “ตราอิมพีเรียล” รวมถึงเนยและชีส “ตราอลาวรี่” มั่นใจพร้อมเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยราคาเสนอขายไอพีโอหุ้นละ 8.50 บาท เปิดจองซื้อวันที่ 20-21 และ 24 กรกฎาคมนี้ คาดนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในกระดาน SET ช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2566
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า KCG จะเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 155 ล้านหุ้น คิดเป็น 28.4% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ซึ่งเท่ากับ 545 ล้านหุ้น
สำหรับเงินที่ได้จากการระดุมครั้งนี้ KCG จะนำไปใช้สร้างศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า ขยายกำลังการผลิต ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ส่วนที่เหลือจะนำไปชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
การกำหนดราคาไอพีโอที่ 8.50 บาทนั้น พิจารณาจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) ของนักลงทุนสถาบัน ซึ่งถือว่าเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แผนการลงทุนและศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
นอกจากนี้ มองว่านักลงทุนจะให้ความสนใจเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นราคาที่มีอัปไซด์ และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดี จากปัจจุบันที่ภาวะตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน และมีความไม่แน่นอนอย่างมาก เชื่อว่านักลงทุนจะมองหาหุ้นที่พื้นฐานมีความแข็งแกร่ง และมีโอกาสเติบโตทางธุรกิจ นั่นคือหุ้นของ KCG
ด้าน ดร.วาทิต ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG กล่าวว่า การระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะทำให้ KCG เพิ่มขีดความสามารถในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งขยายกำลังการผลิตตลอดจนการก่อสร้าง “KCG Logistics Park” หรือศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าแบบแช่แข็ง และแบบอุณหภูมิห้อง เพื่อรองรับการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ ช่วยผลักดันการขยายธุรกิจของ KCG ให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำการผลิตและนำเข้าผลิตภัณฑ์เนย ชีส และอาหารสำเร็จรูปชั้นนำจากทั่วโลก ที่มีคุณภาพรายใหญ่ของประเทศไทย
พร้อมกันนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 2566 เติบโตได้มากกว่า 10% จากปีก่อน (Double Digit) โดยจะเติบโตมากกว่าอุตสาหกรรม จากยอดขายสินค้าใหม่และสินค้าเดิม ที่เน้นกลยุทธ์การสร้างความต้องการผู้บริโภคใหม่ๆ รวมถึงเน้นการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สามารถตอบโจทย์กระแสเมกะเทรนด์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ขณะที่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับประเภทสินค้าที่บริษัทผลิตและจัดจำหน่าย มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่หันมาสนใจต่อการบริโภทอาหารตะวันตก ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ และใส่ใจด้านสุขภาพมากยิ่งขึ้น โดยปี 2566 มูลค่ายอดขายตลาดชีสในประเทศไทย คาดว่าจะอยู่ที่ราว 4.9 พันล้านบาท หรือเติบโต 7.6% จากปีก่อน ขณะที่ยอดขายตลาดเนยในประเทศไทย คาดอยู่ที่ราว 969 ล้านบาท หรือเติบโต 7.3% จากปีก่อน
สำหรับหุ้นของ KCG มองว่ามีความน่าสนใจในการเข้าลงทุน โดยมีจุดเด่น คือ มีผลิตภัณฑ์และแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี ประกอบกับบริษัทมีความเป็นเลิศด้านนวัตกรรม และมีการให้บริการแบบครบวงจร
ขณะเดียวกัน บริษัทมีความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับลูกค้า ผู้จัดหาวัตถุดิบ และแบรนด์ที่บริษัทนำเข้าผลิตภัณฑ์เพื่อจัดจำหน่ายในประเทศไทย รวมถึงสามารถเข้าถึงโอกาสที่เกิดจากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่สำคัญ และความนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในฐานะผู้นำอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงหลัก ESG เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง พร้อมคณะผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในอุตสาหกรรมอาหารมายาวนานกว่า 60 ปี