จากกระแส “อาหารมื้อพิเศษ” ที่กำลังได้รับความสนใจในโลกโซเชียล หรือ “หมี่หยกลวก..ไม่ลวก” ที่โด่งดังในอดีต ทำให้ร้านเอ็มเคสุกี้นั้นได้รับการพูดถึงในกระแสอย่างต่อเนื่อง แต่รู้หรือไม่ว่า “เอ็มเค เรสโตรองต์” สามารถทำรายได้หลักหมื่นล้านบาทต่อปี จากร้านอาหารมากมายในพอร์ตโฟลิโอที่ไม่ได้มีเพียงแค่สุกี้
บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ M จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในหมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) กว่า 4.51 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้สัดส่วนรายได้ของ “เอ็มเค เรสโตรองต์” มาจากธุรกิจหลักอย่างธุรกิจร้านสุกี้ประมาณ 74% ที่ประกอบด้วย 3 ร้าน ได้แก่ 1. ร้านเอ็มเคสุกี้ ซึ่งวางตำแหน่งการตลาดไว้เป็นร้านของครอบครัว เน้นบรรยากาศสบายๆ ในร้าน สามารถใช้เวลาร่วมกันปรุงสุกี้เพื่อรับประทานร่วมกันพร้อมกับสนทนาไปด้วยโดยไม่ต้องรีบร้อน 2. ร้านเอ็มเคโกลด์ โดยเน้นความหรูหรา ชื่นชอบอาหารเกรดพรีเมียม และ 3. ร้านเอ็มเคไลฟ์ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากจุดเด่นต่างๆ ของเเบรนด์เอ็มเคและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้า Gen Y มาเป็นจุดตั้งต้นในการคิดคอนเซปต์ร้าน
และสัดส่วนรายได้จากธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นยาโยอิ 18% ดำเนินการโดยบริษัทย่อย คือ บริษัท เอ็ม เค อินเตอร์ฟู้ด จำกัด ซึ่งได้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ในการดำเนินกิจการร้านอาหารญี่ปุ่นภายใต้เครื่องหมายการค้า ยาโยอิ เคน มาจาก Plenus Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจร้านอาหารของประเทศญี่ปุ่น โดยร้านอาหารยาโยอิสาขาแรกในประเทศไทยเปิดให้บริการในปี 2549
ขณะที่สัดส่วนรายได้จากธุรกิจร้านแหลมเจริญ ซีฟู้ด คิดเป็น 6% ของรายได้รวม ซึ่งเป็นร้านอาหารทะเลแบบไทยที่มีเอกลักษณ์ของชาวจังหวัดระยอง มีความโดดเด่นด้วยคุณภาพ ความสด และรสชาติ และส่วนที่เหลืออื่นๆ อีก 2% มาจากร้านฮากาตะ ราเมน, ร้านมิยาซากิ เทปปันยากิ, ร้านอาหารไทย ณ สยาม, ร้านอาหารไทย เลอสยาม, ร้านเลอ เพอทิท และร้านบิซซี่ บ็อกซ์
เมื่อไปดูผลประกอบการของ “เอ็มเค เรสโตรองต์” พบว่ารายได้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากปี 2563 มีรายได้ 13,655.26 ล้านบาท กำไรสุทธิ 907.37 ล้านบาท ต่อมาปี 2564 มีรายได้ 11,368.01 ล้านบาท กำไรสุทธิ 130.98 ล้านบาท ส่วนปี 2565 มีรายได้ 15,938.18 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,438.81 ล้านบาท
ล่าสุดบริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2566 มีรายได้ 4,143.39 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิ 325.30 ล้านบาท โดยยอดขายสาขาเดิมปรับเพิ่มขึ้น 16.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการสถานการณ์ของโควิด-19 ปรับตัวดีขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ
ด้านบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า บริษัทรายงานกำไรใน 1/66 คิดเป็นสัดส่วน 20% ของประมาณการกำไรทั้งปีของเรา และมองว่ากำไรในไตรมาส 1/66 เป็นจุดต่ำสุดของปีแล้ว
ทั้งนี้คาดแนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 2/66 จะฟื้นตัวขึ้นจากไตรมาสแรก จากปัจจัยฤดูกาลที่มีช่วงเทศกาล และวันหยุดเยอะหนุนปริมาณลูกค้าภายในร้าน และรับรู้ผลของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่สูงขึ้นซึ่งเป็นบวกโดยตรงต่อร้านแหลมเจริญซีฟู้ด ประกอบกับรับรู้ผลของการปรับขึ้นราคาขายได้เต็มไตรมาส (ปรับไปในเดือน ก.พ.)
รวมถึงค่าไฟฟ้าที่ปรับลดลงราว 11% ตั้งแต่เดือน พ.ค. จะช่วยให้ SG&A/Sales ลดลง อย่างไรก็ตามเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เราคาดกำไรจะยังชะลอตัวเล็กน้อย แม้รายได้จะเติบโตได้ แต่คาดจะยังไม่สามารถชดเชยค่าใช้จ่ายในการขายที่สูงขึ้นได้ทั้งจากค่าใช้จ่ายพนักงาน, ค่าไฟฟ้าและค่าเช่าพื้นที่ (ปีก่อนยังได้ส่วนลดค่าเช่าบางส่วน) คาดกำไรไตรมาส 2/66 เบื้องต้นในกรอบ 350-400 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี คงประมาณการกำไรปกติปี 2566 ที่ 1,580 ล้านบาท หรือเติบโต 9.8% เมื่อเทียบกับปี 2565 มี Upside gain 15.7% ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”