เป็นที่น่าจับตา สำหรับบริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA นำทัพบริหารโดยตระกูล “ตั้งคารวคุณ” จนมาถึงปัจจุบันบริษัทได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หลากหลาย ครอบคลุมไปจนถึงสีและสารเคลือบผิว และผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นสำหรับผู้ใช้งานประเภทลูกค้าทั่วไป วันนี้ #ThairathMoney จะพาทุกคนไปเปิดอาณาจักรของ TOA กัน
สำหรับโครงสร้างรายได้ของบริษัทประกอบด้วย 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจสีตกแต่ง (Decorative Products) ประกอบด้วย สีทาบ้าน, สีตกแต่งพิเศษ, สีที่มีความทนทานสูง และ 2.กลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่สีสำหรับการตกแต่ง (Non-Decorative Products) เช่น เคมีภัณฑ์งานก่อสร้าง, เคมีภัณฑ์งานไม้, เคมีภัณฑ์งานเหล็ก, ยิปซัม, กระเบื้อง
และ 3.กลุ่มธุรกิจบริการ (Service) ได้แก่ บริการเครื่องผสมสีอัตโนมัติ (Auto Tining Machine), บริการงานช่าง WHO Service รวมถึงช่องทางจำหน่ายค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) เช่น ร้าน Mega Paint and Home, ศูนย์ป้องกันและแก้ไข ปัญหา รั่ว ซึม ร้าว (Protect and Repair Center) และแฟรนไชส์ FIX and BUILD
ปัจจุบัน TOA ถือหุ้นใหญ่อยู่ในบริษัทย่อยหลายแห่ง รุกทำตลาดในประเทศไทยผ่านหลากหลายช่องทาง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร เช่น บริษัท กัปตัน โค๊ทติ้ง จำกัด, บริษัท เมก้า เพ้นท์ แอนด์ โฮม จำกัด, บริษัท ยิปมั่นเทค จำกัด เป็นต้น พร้อมกับขยายไปต่างประเทศ ได้แก่ เวียดนาม, สปป.ลาว, มาเลเซีย, เมียนมาร์, อินโดนีเซีย และกัมพูชา โดยมีสัดส่วนรายได้จากในประเทศไทยราว 80% และต่างประเทศ 20%
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 16,438.20 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,031.16 ล้านบาท ต่อมาปี 2564 มีรายได้ 17,708.04 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,955.05 ล้านบาท จะเห็นได้ว่ารายได้สามารถเติบโตได้แม้ว่าทั้งโลกกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 โดยบริษัทให้คำอธิบายในงบการเงินว่ามาจากรายได้จากการขายในทุกช่องทางการจัดจำหน่าย แม้กำไรสุทธิจะลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนขายสินค้าที่เพิ่มขึ้นจากราคาวัตถุดิบ และค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้น ต่อมาปี 2565 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นมาที่ 20,826.10 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,418.22 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักกำไรขั้นต้นที่ลดลง จากวัตถุดิบหลักที่ใช้ในกระบวนการผลิตมีต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
และล่าสุดไตรมาสที่ 1/66 บริษัทรายงานผลประกอบการสิ้นสุด 31 มีนาคม 2566 มีรายได้ 5,653.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 632.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.4% จากไตรมาส 1/65 ที่ทำได้ 409.5 ล้านบาท หลังกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น จากราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น ชดเชยบางส่วนจากต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยของวัตถุดิบหลักที่เพิ่มขึ้น
นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TOA ได้เปิดเผยถึงแผนในการลดผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทเริ่มมีการนำเข้าไททาเนียมไดออกไซด์ (Tio2) จากประเทศจีนเข้ามาเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตมากขึ้น โดยคาดว่าไตรมาส 2/66 จะใช้ถึงระดับ 35% จากความต้องการทั้งหมด จากปีก่อนเพียง 10% พร้อมตั้งเป้าหมายยอดขายปีนี้เติบโตจากปีก่อน 15% โดยเน้นการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มากขึ้น
พร้อมกันนี้ยังวางงบลงทุนไว้ที่ 900 ล้านบาท เพื่อขยายสาขา Distribution Center ที่โฮจิมินห์เป็นหลัก จากปัจจุบันสัดส่วนยอดขายในประเทศเวียดนามสูงที่สุดของรายได้จากต่างประเทศ พร้อมทั้งเตรียมปรับปรุงโรงงานทั้งในไทยและเวียดนามให้ทันสมัยมากขึ้น โดยเน้นการเพิ่มระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้งาน
ด้านบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน ระบุว่า คงประมาณการกำไรปี 2566 ที่ 2.1 พันล้านบาท หรือเติบโต 53% และกลับสู่ปีที่ดี เริ่มมี Upside ทั้งจากรายได้และอัตรากำไร ระยะสั้นคาดกำไรปกติไตรมาส 2/66 ดีกว่าคาดมาที่ 600 ล้านบาท เติบโต 63% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากกำไรขั้นต้นที่แนวโน้มดีที่ระดับ 34% ขณะที่รายได้ยังเติบโตได้สูง และเติบโตแบบ double digit จากปีก่อน หาก Best case มีลุ้นกำไรเพิ่มได้จากไตรมาส 1/66 แม้ยอดขายยังลดจากช่วงฤดูกาล
นอกจากนี้ มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อ TOA ด้านโครงสร้างกรรมการให้มีความชัดเจนขึ้น และแยกออกจากบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ซึ่งเน้นย้ำว่าเป็นธุรกิจส่วนตัวของคุณวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ TOA แต่อย่างใด โดยเคยมีเพียงธุรกรรมปกติเล็กๆ ราว 2 ล้านบาท ที่ STARK ซื้อสีจาก TOA ขณะที่เชิงปัจจัยพื้นฐาน TOA แจ้งว่ากรรมการท่านนี้ไม่ได้มีส่วนร่วมในการบริหารอยู่แล้ว