ผลตอบแทนหุ้นไทยแย่ติด TOP 5 ของโลก เสี่ยงเงินต่างชาติไหลออกอีก แม้เทขายแล้ว 1 แสนล้านจากต้นปี

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ผลตอบแทนหุ้นไทยแย่ติด TOP 5 ของโลก เสี่ยงเงินต่างชาติไหลออกอีก แม้เทขายแล้ว 1 แสนล้านจากต้นปี

Date Time: 7 มิ.ย. 2566 13:37 น.

Video

“The Summer Coffee Company” มากกว่า เครื่องดื่ม คือ ความสุข | Brand Story Exclusive EP.3

Summary

  • นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ชี้ดัชนีตลาดหุ้นไทย SET Index ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ปรับตัวลดลงราว 8% ถือว่า Underperform หรือต่ำสุดติด 5 อันดับแรกของโลก จากการปรับลดสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ ตั้งแต่ต้นปีมูลค่าลดลงรวมกว่า 1 แสนล้านบาท

Latest


นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทย SET Index ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ถือว่า Underperform หรือต่ำสุดติด 5 อันดับแรกของโลก โดยปรับตัวลดลงราว 8% หากเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะตลาด Nasdaq ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงกว่า 10% หรือค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นยุโรปที่เพิ่มขึ้น 10-15% ถือว่าตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างมาก


การปรับลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไทย ส่วนหนึ่งเกิดจากการปรับลดสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ ตั้งแต่ต้นปีมูลค่าลดลงรวมกว่า 1 แสนล้านบาท หลังหุ้นไทยถูกปรับลดระดับผลตอบแทนราว 8-10% ประกอบกับความกังวลเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าอาจมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ขณะที่หุ้นหลายกลุ่มใน SET50 ถูกขายต่อเนื่องเพราะเป็นกลุ่มที่มีนักลงทุนต่างชาติถือครองมากที่สุด ซึ่งนักลงทุนต่างชาติยังคงติดตามความชัดเจนทางการเมืองของประเทศไทย


แม้ว่าในเดือนพฤษภาคม หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กจะมีสัญญาณปรับตัวขึ้น Outperform ตลาดได้ แต่เชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติจะยังไม่ไหลกลับเข้ามาในไตรมาส 3/66 อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดี คาดว่านักลงทุนต่างชาติอาจเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4/66 หลังคาดจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้แล้วเสร็จ และมีความชัดเจนมากขึ้นในเดือนกันยายน


ด้าน นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี ปรับตัวลดลงแล้วราว 8-12% เป็นการเคลื่อนไหวในระดับแย่ เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในเอเชียด้วยกัน โดยเฉพาะเวียดนาม ญี่ปุ่น ที่มีการฟื้นตัวดี จากประเด็นการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไปในปีนี้


ในปี 2565 ตลาดหุ้นไทยถือว่าน่าสนใจมาก จากเป็น “Safe haven” หลังมีความกังวลเรื่องของเศรษฐกิจถดถอยและหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งไทยมีความเสี่ยงไม่มากและมีสัดส่วนหุ้นเทคโนโลยีน้อย ประกอบกับแนวโน้มเงินเฟ้อและดอกเบี้ยขาขึ้น ที่เป็นปัจจัยหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงานและกลุ่มการเงินซึ่งมีสัดส่วนมากในตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ส่งผลให้เม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ากว่า 2 แสนล้านบาท


ส่วนในปี 2566 ปัจจัยต่างๆ เริ่มคลี่คลายลง และไม่มีปัจจัยบวกเข้ามามากนัก ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติมีการปรับพอร์ต และลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยลง ขณะที่ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยไทยและสหรัฐฯ ยังมีอยู่มาก และอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำของไทย จะทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจไม่มีการขึ้นดอกเบี้ย ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่ทำให้ในระยะสั้นมองว่าอาจไม่ง่ายนักที่นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นไทย


อย่างไรก็ดี แนะนำลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการบริโภคในประเทศเป็นหลัก ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มท่องเที่ยว ขณะเดียวกันให้ติดตามประเด็นย้ายฐานการผลิตจากจีนมาไทย หลังมีความชัดเจนของรัฐบาลใหม่ ซึ่งจะทำให้กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมมีความน่าสนใจ รวมถึงหุ้นรายตัวที่ได้รับประโยชน์จากต้นทุนพลังงานที่ลดลง


ด้าน นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า รายงานสรุปภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนพฤษภาคม 2566 SET Index ปิดที่ 1,533 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 0.3% จากเดือนก่อนหน้า และปรับลดลง 8.1% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า โดยปรับไปในทิศทางเดียวกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นในอาเซียน 


ความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัว month to date สูงขึ้น 0.3% ในเดือนพฤษภาคม ถือว่าให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับโอเค หากเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ในประเทศอื่นๆ ที่มีการปรับตัวลดลง โดยมูลค่าการซื้อขายปรับตัวในทิศทางดีขึ้นเช่นเดียวกัน โดยสามารถฟื้นตัวได้จากเดือนเมษายน


ขณะเดียวกัน เริ่มเห็นเงินทุนต่างชาติไหลออกจากพันธบัตรและหุ้นไทยในระยะสั้นในเดือนพฤษภาคม จากผู้ลงทุนกังวลเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลและนโยบายเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนยังติดตามความชัดเจนอย่างใกล้ชิด หากนโยบายต่างๆ ไม่กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมถึงการเพิ่มต้นทุนในการทำธุรกิจ ที่นักวิเคราะห์คาดว่าเงินทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้ามา


ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 33,407 ล้านบาท ในเดือนพฤษภาคม หรือขายสุทธิเป็นเดือนที่สี่ สอดคล้องกับตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาคอาเซียน จากปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะประเด็นเรื่องเพดานหนี้สหรัฐฯ ที่ปัจจุบันเริ่มมีความคืบหน้า ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลได้บ้าง.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ