นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA เปิดเผยว่า บริษัทยังตั้งเป้าหมายภาพรวมผลประกอบการมียอดขายเติบโตจากปีก่อน 15% โดยเน้นการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเพิ่มขึ้น ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและการลดต้นทุน เช่น สินค้าประเภท Green Product และสินค้าสีกลุ่ม 2 in 1 ที่ไม่ต้องรองพื้น ซึ่งจะเป็นตัวหลักผลักดันยอดขายให้เติบโตได้ในช่วงครึ่งปีหลัง
ประกอบกับเชื่อว่าช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะได้รับผลกระทบจากการขึ้นราคาของวัตถุดิบน้อยลง และการเติบโตของยอดขายต่างประเทศน่าจะฟื้นตัวได้ ทั้งสินค้ากลุ่มสีและกลุ่มที่ไม่ใช่สี หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้ดี จากปัจจุบันสัดส่วนยอดขายในประเทศไทยอยู่ที่ 80% และต่างประเทศที่ 20%
ขณะเดียวกัน ทิศทางของการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 2/66 คาดว่าจะอยู่ในระดับที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงหากเทียบกับไตรมาส 1/66 จากมีวันหยุดเยอะในเดือนเมษายน และโดยปกติยอดขายในไตรมาสแรกจะเป็นสัดส่วนสูงที่สุดอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี เชื่อว่าอัตรากำไรจะอยู่ในระดับที่ดีขึ้น จากมีการรับรู้ราคาต้นทุนวัตถุดิบใหม่ที่ลดลงเต็มไตรมาส
“ปัจจุบันเราเริ่มใช้ Tio2 จากจีนเยอะขึ้น จากปีก่อนใช้ที่สัดส่วน 10% ไตรมาสแรกขยับขึ้นมา 17-18% ส่วนไตรมาสนี้คาดว่าจะขึ้นไปที่ระดับ 35% จากความต้องการทั้งหมด ทำให้ต้นทุนลดลงได้”
ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนสำหรับปี 2566 ไว้ที่ 900 ล้านบาท หลังจากที่ชะลอการลงทุนในช่วงสองปีที่ผ่านมาจากปัญหาของการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยจะเน้นการลงทุนขยาย Distribution Center ที่โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ซึ่งการขยายในครั้งนี้เชื่อว่าจะทำให้บริษัทสามารถปรับปรุงโรงงานให้ทันสมัยมากขึ้นได้ต่อไป ขณะที่การลงทุนในประเทศไทย จะเน้นการปรับปรุงโรงงานให้ทันสมัยมากขึ้น และเน้นระบบอัตโนมัติเข้ามาเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทมองว่าแนวโน้มอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้ โดยเห็นได้ชัดจากภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาคึกคัก และเริ่มเห็นสัญญาณดีของการฟื้นตัว ทำให้ผู้ประกอบการเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น และเริ่มการปรับปรุงหรือก่อสร้างอาคารต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มโรงงานที่บริษัทได้เข้าไปทำตลาด ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทเติบโตได้
นายจตุภัทร์ กล่าวอีกว่า สำหรับประเด็นเรื่องการขึ้นค่าแรงของรัฐบาลชุดใหม่มองว่า ปัจจุบันกำลังการผลิตของบริษัทเน้นเป็นเครื่องจักรอัตโนมัติมากขึ้น โดยเน้นการลดใช้แรงงาน ทำให้ค่าแรงที่อาจจะเพิ่มขึ้นไม่น่าจะส่งผลต่อต้นทุนของบริษัทมากนัก เพราะ 70% ของต้นทุนของการผลิตมาจากวัตถุดิบเป็นหลัก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของราคาวัตถุดิบจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนมากกว่า