ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 24 เม.ย.66 ปิดที่ 1,540.20 จุด ลดลง 17.67 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 46,2115.92 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,710.93 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด KBANK ปิด 126 บาท ลบ 1.50 บาท, BBL ปิด 155.50 บาท ลบ 2.50 บาท, DELTA ปิด 888 บาท ลบ 18 บาท, ADVANC ปิด 208 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, PTTEP ปิด 156 บาท บวก 0.50 บาท
หุ้นไทยปรับตัวลงแรงจากเซ้นติเม้นต์เชิงลบของตลาดหุ้นทั่วเอเชีย ที่กลับมากังวลการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไปพักในตลาดตราสารหนี้
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส ออกไอเดีย หาหุ้น Safety Margin สูง คือหุ้นที่มีกำไรกลับไปเหนือช่วงก่อน COVID-19 (ช่วงปลายปี 2019) แล้ว แต่ราคาหุ้นยัง Laggard มาก อีกทั้ง Upside ยังเปิดกว้าง และคาดหวังการกลับมา Outperform ตลาดในระยะถัดไป ได้ผลลัพธ์ 8 หุ้นที่น่าทยอยสะสม ดังนี้ TIDLOR-TU-IVL-TOP-HMPRO-SAWAD
ขณะที่ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังขาดปัจจัยหนุน ขณะที่ภาพรวมผลประกอบการ Q1/66 ของบริษัทจดทะเบียน คาดว่ายังมีแนวโน้มอ่อนแอ โดยหุ้นเทคโนโลยีและธนาคารขนาดเล็กของสหรัฐฯรวมทั้งบริษัทจดทะเบียนไทยที่จะออกมาสัปดาห์นี้มีโอกาสแย่กว่าคาด
แนะกลยุทธ์ลงทุน “Selective Buy” เลือกลงทุนในหุ้นธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวเข้ามาหนุน ดังนี้
1.หุ้น Best of the best ภายใต้วิกฤติการเงินในสหรัฐฯและยุโรป หุ้นที่มีพื้นฐานและฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีกำไรในปี 2566-67 เติบโตเฉลี่ยสูงกว่ากำไรของกลุ่มหุ้นที่แนะนำ Outperform และ Valuation ไม่แพง โดยซื้อขายด้วย PER และ PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่บริเวณ-1.0 ถึง-2.0 S.D. จึงมองเป็นโอกาสซื้อสะสม เลือกหุ้น AU- BBL-BDMS-CPALL-GULF สำหรับนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้ว แนะนำ Let Profit Run
2.หุ้นปันผลดี มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและราคาหุ้นยังมี Upside น่าสนใจเกิน 15% เลือก AP (XD 9 พ.ค. @0.65 บาท) และ LH (XD 8 พ.ค. @0.35 บาท) โดยคิดเป็น Div. Yield เกิน 3%
อินเด็กซ์ 51