โฮมโปร อวดกำไรสุทธิปี 65 แตะ 6,217.09 ล้าน รับอานิสงส์เศรษฐกิจขยายตัว

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

โฮมโปร อวดกำไรสุทธิปี 65 แตะ 6,217.09 ล้าน รับอานิสงส์เศรษฐกิจขยายตัว

Date Time: 24 ก.พ. 2566 17:06 น.

Video

สาเหตุที่ทำให้ Intel อดีตยักษ์ใหญ่ชิปโลก ล้าหลังยุค AI | Digital Frontiers

Summary

  • โฮมโปร อวดกำไรสุทธิปี 65 แตะ 6,217.09 ล้าน เพิ่มขึ้น 14.27% รายได้รวม 69,389.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,463.64 ล้าน รับอานิสงส์เศรษฐกิจขยายตัว

โฮมโปร อวดกำไรสุทธิปี 65 แตะ 6,217.09 ล้าน เพิ่มขึ้น 14.27% รายได้รวม 69,389.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,463.64 ล้าน รับอานิสงส์เศรษฐกิจขยายตัว

เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 66 นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO กล่าวว่า บริษัทฯ และบริษัทรายย่อย มีรายได้รวม 69,389.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,463.64 ล้านบาท หรือ 8.55% โดยมีกำไรสุทธิ 6,217.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 776.57 ล้านบาท หรือ 14.27%

โดยประกอบไปด้วยรายได้จากการขายสินค้า และรายได้จากการให้บริการลูกค้า หรือ Home Service รวมจำนวน 65,090.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,522.97 ล้านบาท หรือ 7.47% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ การปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการกลับมาเปิดให้บริการทุกสาขา เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และยังได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้

ขณะเดียวกัน โฮมโปร ยังมีรายได้จากค่าเช่า 1,720.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 497.43 ล้านบาท หรือ 40.67% และมีรายได้อื่น จำนวน 2,577.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 443.24 ล้านบาท หรือ 20.76% โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มจำนวนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าทั้งในช่องทางสาขา ช่องทางออนไลน์

โดยโฮมโปร มีกำไรขั้นต้นจากการขายสินค้า และการให้บริการลูกค้า หรือ Home Service รวมจำนวน 17,013.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,370.65 ล้านบาท หรือ 8.76% รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายก็เพิ่มขึ้นจาก 25.83% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 26.14% ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง รวมถึงรายได้จากการบริการที่เพิ่มขึ้น แม้ต้นทุนค่าขนส่งในการกระจายสินค้าสู่สาขาจะปรับตัวสูงขึ้นจากราคาน้ำมันก็ตาม

นายวีรพันธ์ กล่าวอีกว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง ส่งผลให้ทางภาครัฐ มีการผ่อนคลายมาตรการโควิดต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง โดยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากการเริ่มฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภค ซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยบวกในด้านต่างๆ

เช่น การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศ และการออกมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในประเทศจากทางรัฐบาล ได้แก่ โครงการช้อปดีมีคืน โครงการเราเที่ยวด้วยกัน และโครงการคนละครึ่ง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของทางภาครัฐ สามารถช่วยบรรเทาผลกระทบในเรื่องของเงินเฟ้อได้ส่วนหนึ่ง อีกทั้งบริษัทฯ ยังคงมองเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ จากการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย

โดยบริษัทฯ มุ่งยกระดับการนำเสนอสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น รวมถึงเร่งขยายสาขาเพื่อเพิ่มอัตราการขยายตัวของรายได้และกำไร ควบคู่ไปกับการวางแผนธุรกิจและกลยุทธ์ที่รัดกุมเพื่อรองรับความกดดันและความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทฯ มองเห็นโอกาสทางธุรกิจจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดการซื้อขายสินค้าออนไลน์ จึงได้มีการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าไปยัง Marketplace ต่างๆ อาทิ Shopee และ Lazada นอกเหนือจากการนำเสนอสินค้าและบริการบนเว็บไซต์ของบริษัทฯ และแอปพลิเคชัน HomePro Application, Home Service Application และ HomeCard Application

เพื่อตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงในปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการร่วมลงทุน โดยเข้าซื้อหุ้นจำนวน 30% กับทาง Onestockhome ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าวัสดุก่อสร้างออนไลน์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มโอกาสในการกระจายสินค้าและสร้างรายได้ให้กับธุรกิจเมกาโฮม

ในส่วนของการพัฒนาสินค้า และบริการเพื่อรองรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป บริษัทฯ ให้ความสำคัญถึงความเข้าใจในเชิงลึกของพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิตและสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น โดยมีการพัฒนากลุ่มสินค้าใหม่ อาทิ สินค้าที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง จากการศึกษาพฤติกรรมและความนิยมเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงของกลุ่มคนปัจจุบันที่เพิ่มมากขึ้น

รวมถึงพัฒนากลุ่มสินค้าที่สามารถช่วยประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่าย เช่น แผงโซล่าเซลล์ (Solar Panel) ตลอดจนมีการพัฒนาสินค้าและบริการร่วมกับคู่ค้า โดยให้ความสำคัญในเรื่องความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและสังคม จากความสนใจและความตระหนักที่เพิ่มมากขึ้นในประเด็นนี้ของกลุ่มผู้บริโภค อีกทั้งยังมีการให้ความสำคัญในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า

ทั้งจากข้อมูลภายในและภายนอก เพื่อต่อยอดการพัฒนาออกแบบสินค้าและบริการ ให้ครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์และการใช้งานของลูกค้าปัจจุบัน รวมถึงสามารถตอบสนองกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ๆ อาทิ กลุ่มผู้บริโภคเจเนอเรชัน Y และกลุ่มลูกค้าธุรกิจ หรือ B2B อีกด้วย

สำหรับการขยายสาขาในปี 2565 บริษัทฯ เร่งเดินหน้าขยายสาขาทั้งโฮมโปรและเมกาโฮม จากการมองเห็นโอกาสเติบโตทางธุรกิจ โดยเปิดสาขาโฮมโปรใหม่  2 สาขา ที่ ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต ทดแทนสาขารังสิตเดิม และเปิดสาขาลาดกระบัง ทดแทนโฮมโปรเอส สาขาเดอะพาซิโอ ลาดกระบังเดิม โดยเป็นการย้ายสถานที่จากสาขาเดิมมาเปิดในบริเวณใกล้เคียงที่มีพื้นที่ใหญ่ขึ้น รวมถึงบริษัทฯ มีการปิดสาขาโฮมโปร 1 สาขา ที่ เดอะมอลล์บางแค

เนื่องจากสัญญาเช่าหมดอายุลง และบริษัทฯ มีแผน ที่จะเปิดสาขาใหม่ในบริเวณใกล้เคียงกัน อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีการเปิดสาขาเมกาโฮมใหม่ 4 สาขา ที่ พัทยา ฉะเชิงเทรา สุราษฎร์ธานี และขอนแก่น ซึ่ง ณ สิ้นปี 2565 บริษัทฯ มีโฮมโปร 87 สาขา โฮมโปรเอส 5 สาขา เมกาโฮม 18 สาขาโฮมโปรในประเทศมาเลเซียอีก 7 สาขา และโฮมโปรในประเทศเวียดนามที่ยังจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทาง E-marketplace เป็นหลัก.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ