2 โรงไฟฟ้า GPSC-BGRIM กำลังฟื้นตัว รับต้นทุนค่าก๊าซลด รับรู้ค่า FT ใหม่เต็มไตรมาส

นักวิเคราะห์ประเมิน 2 หุ้นใหญ่กลุ่มโรงไฟฟ้ากำลังฟื้นตัว รับต้นทุนก๊าซลด ค่า FT เพิ่มขึ้น ด้านบล.ฟิลิป ประเมิน GPSC โดดเด่น เตรียมมีกำลังการผลิตเพิ่มอีก 4,634 MW ภายในต้นปี 2567

ต้นทุนก๊าซนับเป็นแรงกดดันสำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาราคาก๊าซธรรมชาติมีความผันผวนสูงจากสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างรัสเซีย กับยูเครน กดดันให้ราคาพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุด โดยผู้เล่นหลักในกลุ่มโรงไฟฟ้าทั้ง บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC และ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ได้รับผลกระทบทำให้กำไรในช่วง 9 เดือนแรกปรับตัวลดลงแรง

ทั้งนี้ทิศทางของกลุ่มโรงไฟฟ้าเริ่มผ่อนคลายลงเมื่อต้นไตรมาสที่ 4 ราคาก๊าซลงมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันในประเทศไทยมีการปรับค่า FT ใหม่ในช่วงเดือนก.ย.–ธ.ค. ให้เรียกเก็บที่ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย และมีโอกาสจะปรับเพิ่มขึ้นอีกในต้นปีหน้า

บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า กกพ. ประกาศปรับขึ้นค่า Ft งวด ม.ค.- เม.ย. 2566 เพิ่มขึ้น 97.01 สตางค์/หน่วย สำหรับทุกกลุ่มผู้ใช้งานยกเว้นกกลุ่มบ้านที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม กพช. มีการปรับวิธีการจัดสรรก๊าซธรรมชาติใหม่ ส่งผลให้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มสูงขึ้นเป็น 542 บาท/MMBtu

แม้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากช่วง ต.ค.-พ.ย. 2565 แต่ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในไตรมาสที่ 3 เราจึงมองว่าค่า Ft จะสามารถชดเชยผลกระทบจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติได้ทั้งหมด

ทั้งนี้การปรับประมาณการปี 2566 ขึ้นเป็น 2,086 ล้านบาท จากการรวมผลของการปรับขึ้นค่า Ft รอบ ม.ค.-เม.ย. 2566 ไว้ในประมาณการคาดกำไรปกติฟื้นตัว เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการรับรู้ผลการปรับขึ้นค่า Ft งวด ก.ย.-ธ.ค. 2565 แบบเต็มไตรมาสและต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่มีแนวโน้มลดลง จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ กำไรเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดกำไรปกติลดลงจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้นมากขึ้น
  

บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า สำหรับ GPSC นั้นคาดว่าผลการดำเนินงานปี 2566 ฟื้นตัวจากราคาก๊าซธรรมชาติผ่านจุดสูงสุดแล้ว และผลการดำเนินงานในอนาคตยังได้แรงหนุนจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งได้เข้าร่วมประมูลพลังงานหมุนเวียน 5.2 GW ในไทยซึ่งจะรองรับการเติบโตเพิ่มเติม

สำหรับต้นทุนก๊าซกดดันผลการดำเนินงานปี 2565 ทางฝ่ายคาดผลการดำเนินงานทั้งปี 2565 อยู่ที่ 1,562 ล้านบาท แม้คาดว่า อัตรากำไรขั้นต้น ในไตรมาสที่ 4 ของปี 65 จะเพิ่มเป็น 6.1% ปรับตัวขึ้นจาก 2.4% ในไตรมาสที่ 3 ของปี 65 เนื่องจากรับรู้การปรับค่า Ft เป็น 93.43 สตางค์เต็มไตรมาส และยังได้แรงหนุนจากการ COD โครงการ SPP Replacement ของ Glow Energy Phase 2 แบ่งเป็น Unit 1 ในช่วง พ.ย. 2565 และ Unit 2 ธ.ค. 2565 มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 200 MW และกำลังการผลิตไอน้ำ 300 ตันต่อชั่วโมง แต่อย่างไรก็ตาม คาดกำไรสุทธิจะอ่อนตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องในช่วงไตรมาส 4 บริษัทจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติ

อย่างไรก็ตาม บล.คาดว่า คาดผลการดำเนินงานปี 2566 จะฟื้นตัวอยู่ที่ 4,271 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 173% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานกำไรที่ต่ำในปี 2565 เนื่องจากได้รับผลจากราคาก๊าซที่สูงแต่การปรับค่า Ft ทำได้จำกัด ขณะที่ปี 2566 แม้แนวโน้มราคาก๊าซธรรมชาติจะยังทรงตัวระดับสูงหากเทียบกับอดีต แต่คาดราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว อีกทั้งจะรับรู้การปรับค่า Ft เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าเต็มปีจะช่วยลดผลกระทบการดำเนินงานลง และจะเริ่มผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มราว 600 MW ในโครงการ Avaada

ผลการดำเนินงานในอนาคตของ GPSC คงได้แรงหนุนจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประกอบไปด้วย 1) โครงการหน่วยผลิตไฟฟ้าจากกากน้ำมัน (ERU) มีกำลังการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 250 MW และจะ SCOD ในปี 2568 2) โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในอินเดีย (Avaada) ที่ COD ไปตั้งแต่ปี 2564 และอยู่ระหว่างการเพิ่มกำลังการผลิต ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นในปี 2567 (กำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งสิ้น 4,634 MW, สัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 42.93) 3) โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมในไต้หวัน (CFXD) มีกาลังการผลิตอยู่ที่ 595 MW และมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 25 ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตไฟฟ้าในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 67 ซึ่งโครงการทั้งหมดได้รวมอยู่ในประมาณการแล้ว