โอสถสภา แจ้งไตรมาส 3 ปี 65 กำไร 244 ล้านบาท ลดลง 58.0% ผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานสูงขึ้น เดินหน้าปรับกลยุทธ์เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์
บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยรายงานรายได้จากการขายสำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 ที่ 6,178 ล้านบาท เติบโต 0.9% จากปีก่อน โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ และกลุ่มอื่นๆ เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในประเทศหดตัวจากผลกระทบในช่วงการเปลี่ยนผ่านของธุรกิจไปสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียมประกอบกับการทำกิจกรรมส่งเสริม การขายด้านราคาจากผู้เล่นรายอื่นในอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง
ส่วนรายได้จากการขายสำหรับงวดเก้าเดือนของปี 2565 อยู่ที่ 20,833 ล้านบาท เติบโต 5.2% ช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของยอดขายในทุกกลุ่มธุรกิจ-โอสถสภาเป็นผู้นำทั้งในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง และตลาดเครื่องดื่ม Functional Drinks โดยครองส่วนแบ่งการตลาดสำหรับ 9 เดือนแรกอยู่ที่ 50.3% ของกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลัง และ 43.6% ของกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม Functional Drinks
ส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังได้รับผลกระทบในระยะสั้น หลังจากการดำเนินกลยุทธ์เพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์เอ็ม-150 หลัก อย่างไรก็ตามส่วนแบ่งการตลาดเริ่มมีสัญญาณทรงตัวและคาดการฟื้นตัวต่อเนื่องในไตรมาสที่ 4 ส่วนผลิตภัณฑเ์ครื่องดื่มซีวิท มีส่วนแบ่งการตลาดที่ 38.9% เป็นแบรนด์ผู้นำในตลาดเครื่องดื่ม Functional Drinks และครองส่วนแบ่งการตลาดถึง 2/3 ของกลุ่มย่อยที่เป็นเครื่องดื่มวิตามินซี
อัตรากำไรขั้นต้นสำหรับไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ 29.3% ลดลง 3.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 1.9% จากไตรมาสก่อน เป็นผลจากราคาต้นทุนวัตถุดิบและราคาพลังงานที่สูงขึ้น และต้นทุนการผลิตต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณการผลิตที่ลดลงของโรงงานผลิตขวดแก้วและโรงงานผลิตและบรรจุ เครื่องดื่ม บางส่วนหักกลบด้วยปัจจัยบวกจากการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แบรนด์เอ็ม-150 และการลดต้นทุนและค่าใช่จ่ายผ่านโครงการ Fast Forward 10X ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นสำหรับ 9 เดือนแรกอยู่ที่ 30.8% ลดลง 3.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โอสถสภา รายงานกำไรสุทธิสำหรับไตรมาสที่ 3 ที่ 244 ล้านบาท ลดลง 58.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 3.9% ลดลง 5.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน การหดตัวของกำไรสุทธิเป็นผลมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินจัตของเมียนมา (Myanmar Kyat or MMK) จำนวน 63 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการชะลอการผลิตขวดแก้วจำนวน 52 ล้านบาท ประกอบกับค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่เพิ่มขึ้นเพื่อหนุนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ส่วนกำไรสุทธิสำหรับ 9 เดือนแรกของปี 65 อยู่ที่ 1,597 ล้านบาท ลดลง 33.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 7.7% ลดลง 4.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตามในไตรมาส 2 ปี 2565 โอสถสภาเป็นผู้นำในการเพิ่มมูลค่าตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังและกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทผ่านการออกผลิตภัณฑ์เอ็ม-150 ใหม่ ราคา 12 บาท เพิ่มคุณประโยชน์ให้ผู้บริโภค ช่วยตอบโจทย์ต้นทุน สินค้าโภคภัณฑ์และก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้สามารถขับเคลื่อนการเติบโตและผลกำไรของกลุ่มผลิตภัณฑ์และอุตสาหกรรม
โอสถสภาได้รับผลกระทบในระยะสั้นด้านปริมาณการขายและรายได้ของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลัง เนื่องจากผู้เล่นรายอื่นในอุตสาหกรรมไม่ได้ใช้กลยุทธ์เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตามโอสถสภาคาดการฟื้นตัวของส่วนแบ่งการตลาดในไตรมาส 4 ปี 2565 จากการปรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ (Portfolio) ในไตรมาส 3 ปี 2565 (ควบคู่กับกิจกรรมสนับสนุนการขายและการกระจายสินค้า และมองการเติบโตของผลกำไรที่แข็งแกร่งขึ้นในปี 2566 ผ่านการจัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์แบบองค์รวม และการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต จะช่วยผลักดันการเติบโตของผลกำไรในปี 2566).