นักวิเคราะห์ประสานเสียง หุ้นไทยเจอแรงเทขาย หลังเฟดเดินขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% แนะจับตาประกาศกำไรไตรมาส 3 ของ บจ.ช่วยค้ำตลาด หวังประชุมเอเปกเปิดประตูนักท่องเที่ยวจีน
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ (3 พ.ย.) คาดว่าดัชนีมีแนวโน้มอ่อนตัว จากความไม่แน่นอนในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด หลังมติคณะกรรมการเฟด ส่งสัญญาณชะลอตัวขึ้นดอกเบี้ย
แต่ถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ กลับชี้ถึงจำเป็นต้องเร่งขึ้น ดอกเบี้ยต่อ โดยเฟด มีมติขึ้นดอกเบี้ย 0.75% เป็นไปตามที่ตลาดคาด แต่ระบุว่า จะพิจารณาถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากขึ้น ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำลงในการประชุม ธ.ค. ขณะที่ประธานเฟด แถลงว่ายังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงการยุติการขึ้นดอกเบี้ย
นอกจากนี้ยังเจอความท้าทาย จากการที่ประเทศรัสเซียประกาศร่วมมือส่งออกธัญพืชยูเครนอีกครั้งหลังถอนตัวก่อนหน้านี้ อาจส่งผลให้ตลาดจะคลายกังวลปัญหาอุปทานอาหารโลกตึงตัว และจะทำให้ ราคาสินค้าเกษตร ข้าวสาลี ข้าวโพด ถั่วเหลือง กลับมาปรับตัวลง เป็นผลบวกต่อหุ้นกลุ่มอาหารที่มีสินค้าเกษตรเป็นต้นทุนการผลิต อาทิ CPF GFPT SNNP TFMAMA แต่จะเป็นปัจจัยกดดันกับหุ้นที่เคยเก็งกำไร จากการปรับขึ้นของราคาสินค้าเกษตรก่อนหน้านี้ อาทิ TWPC TVO TMILL
ส่วนปัจจัยในประเทศนั้น มีปัจจัยจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว จะเสนอ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการหารือร่วมกับ ประธานาธิบดีของจีน ในโอกาสเข้าร่วม การประชุมเอเปกในเดือนนี้ ให้ปลดล็อกนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวไทยได้
คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. คงประมาณการ GDP ไทยปีนี้ที่ 3.0-3.5% ส่วนปีหน้ากังวลเศรษฐกิจโลก ถดถอยฉุดส่งออกลดลงเหลือ 1% ขณะที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ประเมินเงินเฟ้อไทยผ่าน จุดสูงสุดแล้ว คาด GDP ปีหน้าโต 3.8% หาก นักท่องเที่ยว เข้าไทย 21 ล้านคน แต่มี ความเสี่ยงต่ำกว่าคาดเช่นกัน
ทั้งนี้ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ โดยมองว่าดัชนีจะเจอแรงเทขายลงไปใกล้เคียงระดับ 1,616 และ 1,607 จุด ตามลำดับ ส่วนกรอบบนมองถูกจำกัดที่แนว ต้าน 1,632 จุด
ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี มองว่า แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ จะอ่อนตัวลงแนวรับ 1,620 / 1,610 จุด หลัง เฟด ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามคาด 0.75% แต่ส่งสัญญาณว่าจะขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุกต่อไปเนื่องจากเงินเฟ้อยังคงสูงมาก และอาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ซึ่งเป็นลบต่อทิศทางการลงทุน
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้นรวมถึงแรงซื้อเก็งกำไรการประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 จะช่วยหนุนให้ดัชนีสลับรีบาวด์ขึ้นได้