PTTEP เผยกำไรไตรมาส 3/65 แตะ 24,172 ล้าน พร้อมนำรายได้ 9 เดือนแรกของปี 65 ส่งรัฐแล้วกว่า 7 หมื่นล้าน
นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/65 ปตท.สผ. มีรายได้รวม 2,617 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ เทียบเท่า 95,292 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 148 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับรายได้รวม 2,469 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย 84,955 ล้านบาท ในไตรมาส 2/65 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในไตรมาส 3 ปตท.สผ. มีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยอยู่ที่ 478,323 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นจาก 465,459 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในไตรมาสที่แล้ว โดยหลักมาจากโครงการจี 1/61 หลังจากเข้าเป็นผู้ดำเนินการเมื่อปลายเดือน เม.ย. 65 และจากโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย หรือ MTJDA ซึ่งได้เพิ่มปริมาณการผลิต รองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในประเทศ
ขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยปรับลดลงจาก 55.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ มาอยู่ที่ 53.68 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นไปตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก ในไตรมาสที่ 3/65 นี้ บริษัทมีผลกำไรจากสัญญาประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน จำนวน 94 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 3,415 ล้านบาท)
จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ส่งผลให้ในไตรมาส 3/65 ปตท.สผ. มีกำไรสุทธิ 664 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ เทียบเท่า 24,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากไตรมาสที่แล้ว ซึ่งมีกำไรสุทธิ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาทที่ 20,600 ล้านบาท และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาที่ 76% ซึ่งเป็นตามที่คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ ในรอบ 9 เดือนของปี 2565 ปตท.สผ. ได้นำรายได้ส่งให้กับรัฐ ซึ่งอยู่ในรูปภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง และส่วนแบ่งผลประโยชน์อื่นๆ ประมาณ 70,000 ล้านบาท เพื่อนำไปพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ เช่น ด้านการพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น
สำหรับการขยายการลงทุนในตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์ของ ปตท.สผ. ในไตรมาสนี้ ปตท.สผ. ประสบความสำเร็จในการเจาะหลุมสำรวจหลุมแรกในโครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี)
โดยค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่อีกครั้ง ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตทางธุรกิจให้กับบริษัทในอนาคต อีกทั้ง ปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยในปีนี้เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว โดยหลักมาจากการเข้าซื้อโครงการโอมาน แปลง 61 ในเดือนมีนาคมปีก่อน
ส่วนความคืบหน้าการดำเนินงานเพื่อเร่งการผลิตก๊าซธรรมชาติของโครงการจี 1/61 นั้น หลังจากที่ ปตท.สผ. ชนะการประมูลโครงการจี 1/61 (แหล่งเอราวัณ, ปลาทอง, สตูล, ฟูนาน) นั้น บริษัทได้เตรียมแผนงานในการเข้าพื้นที่โครงการจี 1/61 ล่วงหน้าเป็นระยะเวลา 2 ปี ก่อนวันที่ ปตท.สผ. จะเข้าเป็นผู้ดำเนินการในสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) ตามข้อตกลงที่มีต่อรัฐ เพื่อรักษาระดับการผลิตก๊าซธรรมชาติให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
แต่ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้รับสัมปทานรายเดิมให้เข้าพื้นที่ จนเกิดความล่าช้าจากแผนงานเดิมเป็นเวลากว่า 2 ปี ประกอบกับผู้รับสัมปทานรายเดิมหยุดการพัฒนาแหล่งก๊าซฯ มาเป็นเวลานาน ส่งผลให้อัตราการผลิตก๊าซฯ ลดลงอย่างมาก ซึ่งที่ผ่านมา ปตท.สผ. ได้ปรับแผนงานมาโดยตลอด เพื่อเร่งอัตราการผลิตก๊าซฯ และลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด
โดยในช่วงระยะเวลา 6 เดือน หลังจากวันที่ ปตท.สผ. ได้เข้าเป็นผู้ดำเนินการในปลายเดือน เม.ย. 65 ที่ผ่านมา ปตท.สผ. ได้ทำการเจาะหลุมผลิตไปแล้ว จำนวน 10 หลุม และติดตั้งแท่นหลุมผลิต (wellhead platform) เสร็จสิ้นไปแล้ว 4 แท่น
ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตั้งแท่นหลุมผลิตอีก 4 แท่น วางท่อใต้ทะเล และได้เพิ่มแท่นเจาะ (Rig) เพื่อเจาะหลุมผลิตอีกประมาณ 70 หลุมภายในปี 2565 นี้ รวมทั้งกำลังเร่งก่อสร้างแท่นหลุมผลิตใหม่อีก 4 แท่น ซึ่งมีความคืบหน้าไปเร็วกว่าแผนงานที่วางไว้
"การเร่งรัดพัฒนาโครงการจี 1/61 เป็นอีกเป้าหมายหลักของ ปตท.สผ. ซึ่งภารกิจที่สำคัญครั้งนี้ ปตท.สผ. ตระหนักเป็นอย่างดี เราพยายามอย่างเต็มความสามารถและหาทุกวิถีทางมาโดยตลอดในการเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติให้ได้มากขึ้น เพื่อประโยชน์ของประชาชนและความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ"
ในระหว่างที่กำลังเร่งพัฒนาโครงการจี 1/61 นั้น ปตท.สผ. ได้เพิ่มการผลิตก๊าซฯ จากแหล่งบงกช แหล่งอาทิตย์ และพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (MTJDA) รวมอีกประมาณ 200 - 250 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติให้กับประชาชนและประเทศ
ด้านความคืบหน้าการพัฒนาเทคโนโลยีนั้น บริษัท โรวูล่า (ประเทศไทย) จำกัด ภายใต้บริษัท ARV ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ประสบความสำเร็จในการพัฒนาหุ่นยนต์นอติลุส (Nautilus) ร่วมกับพันธมิตร และพร้อมสำหรับให้บริการในเชิงพาณิชย์แล้ว
ทั้งนี้ นอติลุสเป็นหุ่นยนต์ซ่อมท่อใต้น้ำกึ่งอัตโนมัติตัวแรกของโลก ที่สามารถลงไปซ่อมบำรุงท่อใต้ทะเลได้ลึกมากถึง 150 เมตร รองรับภารกิจที่มีความเสี่ยงกับมนุษย์ เพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงานใต้ทะเลลึก และยังช่วยประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้กว่า 40%