SCBS ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโต 3.4% รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศ ให้เป้าหมาย SET Index ปีนี้ อยู่ที่ 1,650 จุด เคลื่อนไหวในกรอบ 1,550-1,750 คาดไตรมาส 3 ดัชนีตลาดหุ้นไทยต่ำสุด แนะลงทุนหุ้นที่มีกำไรแกร่ง ราคาไม่แพง ได้แก่ กลุ่มธนาคาร อาหารและเครื่องดื่ม
เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 65 นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS กล่าวว่า เราคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตได้ประมาณ 3.4% จากอานิสงส์การเปิดประเทศ แม้ว่าการบริโภคในประเทศอาจจะมีความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่อง และอัตราดอกเบี้ยที่มีโอกาสปรับตัวขึ้น โดยในกรณีที่แย่สุด หรือ worse case คาดว่าเศรษฐกิจไทย จะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 2.9%
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังของปี 65 นี้ คาดว่ายังไม่สดใส โดยได้รับผลกระทบจาก sentiment ด้านลบของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และจีน อย่างไรก็ตาม ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ เนื่องจากแนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียนในภาพรวมยังมีการเติบโตได้จากอานิสงส์ของการเปิดประเทศ ส่วนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบด้านลบจากเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยมีสัดส่วนในตลาดไม่มาก
นายสุกิจ กล่าวอีกว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนทั้ง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ หรือ MAI ในไตรมาส 1 / 65 มีกำไรสุทธิรวม 2.84 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% YoY
กลุ่มที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น
1. กลุ่มพาณิชย์ 28%
2. กลุ่มธนาคาร 14%
3. กลุ่มพลังงาน และ กลุ่มปิโตรเคมี 15%
4. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 14%
5. กลุ่มการแพทย์ 331%
6. กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 46%
ส่วนกลุ่มที่กำไรสุทธิลดลง
1.กลุ่มเกษตร -54%
2. กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ -4%
3. กลุ่มประกัน -78%
4. กลุ่มบรรจุภัณฑ์ -4%
SCBS มองว่า ปัจจัยพื้นฐานของ SET ในปี 2565-2566 ยังคงดี โดยคาดว่า Earnings Per Share (EPS) เติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 10% ต่อปี กลุ่มที่ EPS ฟื้นตัวไปที่ระดับก่อนเกิดโควิด ได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มพลังงาน กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มพาณิชย์ และกลุ่มท่องเที่ยว เป็นต้น
ขณะเดียวกัน SCBS ได้ประเมินกรอบ SET Index ในระดับคงเดิม ที่ 1,550-1,750 จุด และประเมินเป้าหมายของ SET Index ปีนี้อยู่ที่ 1,650 จุด โดยมองว่า SET Index จะไม่ลดลงแรงเหมือนช่วงโควิด เนื่องจากผลกระทบต่อกำไรไม่แรงเท่าช่วงที่ผ่านมา
ส่วนปัจจัยเสี่ยงต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน ในครึ่งหลังของปี 65 ได้แก่
1. ต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบโดยจะกระทบกลุ่มขนส่ง และวัสดุก่อสร้าง
2. การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยขอ กนง.ที่อาจจะกระทบ กลุ่มท่องเที่ยว อาหาร พาณิชย์ และโรงไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะผ่านจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 3 /2565 เนื่องจาก ผ่านช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรง จีนเริ่มคุมสถานการณ์โควิดในประเทศได้ แนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนชัดเจน ตลาดได้รับปัจจัยหนุนจากการเปิดประเทศ และเงินเฟ้อมีแนวโน้มทรงตัว
ส่วนความเสี่ยงอื่นๆ ที่ต้องติดตาม ได้แก่ การเคลื่อนย้ายของเงินทุนต่างชาติ การเปิดประเทศของจีนที่ล่าช้า และสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ทั้งนี้ เราใช้วิธีการประเมินมูลค่าหุ้นตามพื้นฐานและการเติบโตของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม หรือ Bottom-up approach โดยเราประเมินราคาเป้าหมายของ SET Index อยู่ที่ 1,650 จุด จากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน
โดยกลุ่มที่มองว่ามี Upside เมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน ได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสาร กลุ่มอาหาร ส่วนกลุ่มที่มี Downside ได้แก่ กลุ่มขนส่ง การแพทย์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อสังหาริมทรัพย์ และท่องเที่ยว นอกจากนี้ เราใช้ Bear case valuation เป็นจุดเข้าซื้อที่สำคัญ โดยให้ Margin of safety ที่ 5% จากระดับปัจจุบันหรือต่ำกว่า 1,600 จุด เรามองกรอบ SET Index อยู่ที่ 1,550-1,750 จุด