ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 1 มี.ค. 65 ปิดที่ 1,694.28 จุด เพิ่มขึ้น 9.10 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 91,815.23 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 4,022.22 ล้านบาท
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ประเมินภาพตลาดหุ้นไทย เดือน มี.ค.65 เคลื่อนไหวตาม 4 ปัจจัยหลัก คือ 1.ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ รัสเซีย-ยูเครน 2.นโยบายการเงิน Fed 3.ทิศทางเศรษฐกิจไทย 4.ความเป็นไปได้ที่รัสเซียอาจถูกถอดออกจากดัชนี MSCI EM มองแนวต้านดัชนีเดือนนี้ไว้ที่ 1,700-1,740 จุด ส่วนแนวรับสำหรับเพิ่มน้ำหนักลงทุนคือ 1,635-1,600 จุด
ทั้งนี้ กรณีรัสเซีย-ยูเครน ตราบใดที่ยังยืดเยื้อและลากยาว จะเป็นผลบวกทางอ้อมต่อหุ้นไทยที่จะเห็น Fund flow ไหลเข้าเพื่อหลบภัยระยะสั้น แต่หากทั้ง 2 ฝ่ายหาข้อตกลงร่วมกันได้ คาด Fund flow จะไหลย้อนกลับไป ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยนี้ก่อนหน้านี้ เช่น ยุโรป สหรัฐฯ เป็นต้น
ส่วนนโยบายการเงิน Fed หากผลการประชุม FOMC วันที่ 15-16 มี.ค.นี้ Fed มีมติขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตลาดหุ้นจะตอบรับเชิงบวกระยะสั้น แต่หาก Fed ขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.50% จะเป็น Negative surprise ต่อหุ้นระยะสั้น แต่การขึ้นดอกเบี้ย 0.50% จะมีผลต่อตลาดหุ้นแบบ “เจ็บแล้วจบ” ดีต่อภาพตลาดหุ้นระยะกลาง!!
สำหรับพัฒนาการเศรษฐกิจไทย ที่อิงกับ Covid ในประเทศที่ผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตยังสูง ขณะที่แรงส่งนโยบายภาครัฐที่ลดลง ราคาสินค้าแพง ส่งผลให้กำลังซื้อประชาชนลดลงไม่เป็นผลดีต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก ธนาคาร และ Consumer ปัจจัยนี้มีผลโดยตรงต่อ EPS ของตลาด และกระทบกับเป้าหมายดัชนีตลาดรวม
ขณะที่หากรัสเซียอาจถูกถอดออกจากการคำนวณดัชนี MSCI EM จะทำให้ Fund flow ไหลเข้าประเทศ EM อื่นได้ ไทยเป็นหนึ่งในนั้น จากการคำนวณของทรีนีตี้ล่าสุดพบว่า หากเกิดกรณีดังกล่าวน้ำหนักหุ้นไทยในดัชนี MSCI EM นี้จะขยับขึ้นจาก 1.85% สู่ 1.89% คิดเป็นเม็ดเงินไหลเข้า 140 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 4,600 ล้านบาท อิงกับเม็ดเงินลงทุนที่อิงอยู่กับดัชนี MSCI EM ราว 3.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ
หุ้นน่าลงทุนเดือนนี้ ยังเป็นกลุ่ม Defensive ในช่วงเวลาที่ Valuation ของดัชนีอยู่ในโซนสูง และยังมีความไม่แน่นอนของปัจจัยรอบด้าน แนะนำกลุ่มการแพทย์ (Healthcare) และกลุ่มบริหารหนี้ (AMC) เลือก BDMS, BCH, CHG, IMH และกลุ่ม AMC เลือก BAM, JMT, CHAYO!!
อินเด็กซ์ 51