นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า หลังจากหลายประเทศเริ่มพบผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) นั้น ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะประเมินถึงความเสียหายต่อเศรษฐกิจ แต่เบื้องต้นคาดการณ์กรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 สายพันธุ์ Omicron ไว้ 2 กรณี คือ 1.กรณีที่ไม่รุนแรง (Best Case Scenario) 2.กรณีที่สร้างผลกระทบรุนแรง (Worst Case Scenario) โดยหากโอมิครอนสร้างผลกระทบอย่างรุนแรง คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมีโอกาสปรับลงจากปัจจุบันถึง 15-20% ในทางกลับกันกรณีผลกระทบไม่รุนแรง ตลาดหุ้นก็อาจปรับขึ้น (Rebound) กลับไปในระดับก่อนมีข่าวหรือมีโอกาสปรับขึ้นประมาณ 2-3% เท่านั้น
นายคมศรกล่าวว่า จะเห็นได้ว่าโอกาสที่หุ้นทั่วโลกจะปรับตัวลง (Downside) ยังมีมากกว่าโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น (Upside) อย่างมาก ดังนั้น ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ จึงประเมินว่าตลาดหุ้นที่ระดับปัจจุบันยังไม่สะท้อนความเสี่ยงจากประเด็นนี้อย่างเพียงพอและน่าจะยังถูกกดดันต่อเนื่องในระหว่างที่กำลังรอความชัดเจนซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกเมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา รวมทั้งไทยผันผวนปรับตัวลงแรง หลังซีอีโอโมเดอร์นาออกมาระบุว่า วัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ที่มีในปัจจุบันอาจมีประสิทธิภาพการป้องกันลดลงและต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะพัฒนาวัคซีนตัวใหม่ที่สามารถป้องกันโควิดกลายพันธุ์โอมิครอนได้ กดดันตลาดหุ้นภูมิภาค ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ส และราคาน้ำมันโลกปรับตัวลงแรง โดยตลาดหุ้นไทยที่เคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวกเล็กๆ เมื่อวันที่ 30 พ.ย.พลิกกลับมาปรับตัวลงก่อนมาปิดทำการที่ระดับ 1,568.69 จุด ลดลง 21.00 จุด ซึ่งเป็นไปทิศทางเดียวกันตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ปรับตัวดิ่ง รวมถึงราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก.