"วายแอลจี" ชี้ทองลงโหด แต่สามารถดีดกลับมายืนเหนือ 1,800 ดอลลาร์ ส่งผลเทรนด์ระยะยาว 1-2 ปี ยังเป็นขาขึ้น ชี้มีโอกาสแตะ 1,900 ดอลลาร์ เผยปัจจัยหนุนหลักมาจากสหรัฐฯทำ QE ต่อเนื่อง-ออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจการคลัง เพิ่มหนุนตลาดทองคำ
เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.63 น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) กล่าวว่า ราคาทองที่ปรับลดลงค่อนข้างมากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จนหลุด 1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทำให้นักลงทุนกังวลว่าราคาทองคำจะเป็นขาลงแล้วหรือไม่ ซึ่งจากการปรับตัวลดลงล่าสุดจะเห็นว่า หากราคาทองคำยังไม่เป็นขาลง เพราะหากจะเป็นขาลงจะต้องปรับลดลงไปถึง 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่เมื่อราคาทองคำปรับลดลงไปที่ 1,764 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ พบแรงซื้อกลับเข้ามาทำให้ราคาสามารถยืนเหนือ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้ ทำให้แนวโน้มราคาทองคำในระยะยาวยังเป็นขาขึ้น แม้ว่าระยะสั้นจะยังแกว่งตัวผันผวน โดยคาดว่าภายในปีนี้ยังมีโอกาสได้เห็นราคาไปแตะ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อย่างไรก็ตามแม้ว่าช่วงนี้ ราคาทองคำตอนนี้จะปรับลดลงมาจากจุดสูงสุดของปีนี้ที่ทำไว้ที่ 2,075 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แม้หากดูเทียบกับราคาต้นปีที่เปิดที่ 1,517 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ก็ยังถือว่าราคาปรับขึ้นมาเกือบ 20%
น.ส.ฐิภา กล่าวต่อว่า ส่วนปัจจัยที่ยังมองว่าราคาทองคำในระยะยาว 1-2 ปี ยังคงเป็นขาขึ้นนั้น มาจากปัจจัยหลักที่จะมีเงินไหลเข้าทองคำจากนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่จะเข้ามาอย่างมหาศาล แม้จะมีวัคซีนออกมาใช้แต่กว่าทุกอย่างจะกลับมาปกตินั้น ยังต้องใช้ระยะเวลา 1-2 ปี ดังนั้นแต่ละประเทศยังต้องดำเนินนโยบายทั้งการเงินและการคลังเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ซึ่งเงินอัดฉีดเหล่านี้ทุกครั้งจะมีเงินไหลเข้ามาตลาดทองคำดังเช่นในอดีตเมื่อปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่มีการทำ QE พบว่าราคาทองคำขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากนั้นก็ค่อยๆปรับลดลง แต่ปีที่ลดลงชัดเจนคือปี 2556 ซึ่งคือปีที่เลิกทำ QE ทำให้ราคาทองคำปรับลดลงไปที่ระดับต่ำสุดที่ 1,045 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพราะหากสหรัฐเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีนโยบายเริ่มหยุดทำ QE เริ่มดึงเงินออกจากระบบ ราคาทองคำก็จะปรับลดลงไป อย่างไรก็ดีหากมองในกรณีเลวร้าย หากในอนาคตราคาทองคำมีการปรับลดลงนั้น ก็จะปรับลดลงไม่ต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ สาเหตุที่ราคาทองคำจะไม่ปรับลงไปกว่านั้น เพราะเหมืองทองคำจะมีต้นทุนหน้าเหมืองอยู่ที่ระดับดังกล่าวโดยประมาณ
น.ส.ฐิภา กล่าวต่อว่า ทั้งนี้การอัดฉีดเงินของแต่ละประเทศนั้น จะขึ้นกับผลประกอบการภาคเอกชน ตัวเลขเงินเฟ้อและตัวเลขการว่างงานเพราะถ้าออกมาไม่ดี รัฐบาลก็ต้องอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อให้ประชาชนเกิดการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งก็จะทำให้เกิดการหมุนเวียนและเกิดการลงทุน เงินเหล่านี้ก็จะไหลไปสู่สินทรัพย์ประเภทต่างๆ รวมทั้งทองคำ ส่วนสัญญาณที่จะเลิกทำ QE คือการดึงเงินออกจากระบบหรือขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็คือดูตัวเลขการจ้างงาน และเงินเฟ้อ หากตัวเลขดีขึ้นต่อเนื่อง นักลงทุนที่ลงทุนในทองคำต้องระมัดระวังสัญญาณเหล่านี้ เพราะเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวและนักลงทุนจะมีทางเลือกในการลงทุนมากขึ้นและเงินจะเริ่มไหลออกจากตลาดทองคำ
น.ส.ฐิภา กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ดีปีนี้แม้จะมีโควิด-19 ทำให้เกิดวิกฤติทั่วโลก แต่ก็เป็นปีแห่งโอกาสเช่นกัน เพราะปีนี้นักลงทุนสามารถทำกำไรจากการลงทุนสินทรัพย์ต่างๆได้อย่างมหาศาล เพราะไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลงของราคาสินทรัพย์ต่างๆ เราก็สามารถเข้าไปทำกำไรจากส่วนต่างของราคาได้ นอกจากนี้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนทองคำในตลาด TFEX ที่เป็นการซื้อขายทองคำล่วงหน้าในรูปแบบดอลลาร์สหรัฐ ทำให้นักลงทุนไม่ต้องมีความกังวลด้านความเสี่ยงจากการผันผวนของค่าเงินบาท อย่างไรก็ตามการลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนต้องศึกษาให้เข้าใจก่อนการลงทุน