หุ้นรับผลกระทบการชุมนุม

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 16 ต.ค.63 ปิดที่ 1,233.68 จุด ลดลง 9.28 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 44,575.81 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 480 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด CPALL ปิด 58.50 บาท ลบ 0.75 บาท, PTT ปิด 32.75 บาท ลบ 0.25 บาท, KBANK ปิด 73.25 บาท บวก 0.25 บาท, STA ปิดที่ 31 บาท ลบ 0.50 บาท และ STGT ปิด 90 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท

มีบทวิเคราะห์จาก บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ประเมินผลกระทบจากสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง เป็น 2 กรณี ดังนี้ กรณีที่ 1 หากการชุมนุมทางการเมืองยืดเยื้อ หุ้นที่ได้รับผลกระทบมากสุด ได้แก่ กลุ่มห้างสรรพสินค้าที่อยู่ใกล้บริเวณที่ชุมนุม เช่น หุ้น CRC (ห้างเซ็นทรัลชิดลม, Supersport & Powerbuy ใน Central World), หุ้น BJC (Big C ราชดำริ), CPN (Central World สัดส่วนรายได้ 14%), HMPRO (มี 1 สาขาเพลินจิต) ส่งผลให้มีการปิดห้างและจำนวนผู้ใช้บริการลดลง
กลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว คือหุ้น ERW (Grand Hyatt Erawan Hotel), CENTEL (Centara Grand at CentralWorld Hotel), MINT (Anantara Siam Hotel) กระทบต่อผู้ใช้บริการลดลง

กลุ่ม Commerce ร้านค้าปลีกในห้างส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบไม่มาก เนื่องจากมีสาขาจำนวนมาก ผู้ใช้บริการสามารถไปใช้บริการสาขาอื่นได้ เช่น MC (มี 2 สาขาใน Central World และ 1 สาขาใน Big C ราชดำริ), BEAUTY (มีสาขาที่ Central World และ Big C ราชดำริ), COM7 (มีสาขาที่ Central World), JMART (มีสาขาที่ Central World) และ CPW (มีสาขาที่ Central World)

กรณีที่ 2 การชุมนุมรุนแรงบานปลาย ทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมือง คาดว่าหุ้นที่ได้รับผลกระทบเชิงลบ ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เช่น STEC, CK, PYLON, SEAFCO จะได้รับ sentiment เชิงลบจากความไม่แน่นอนทางการเมือง กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม หุ้น AMATA, WHA อาจทำให้นโยบายเปิดประเทศให้นักลงทุนเลื่อนออกไป และนักลงทุนต่างชาติเกิดความไม่มั่นใจในการลงทุน

รวมทั้งกลุ่มสื่อ คือหุ้น PLANB (มีรายได้จากสื่อ OOH 64% ของรายได้ทั้งหมด โดยสื่อ OOH ส่วนใหญ่ของ PLANB อยู่ในกรุงเทพฯ), VGI (มีรายได้จากสื่อ Transit 53% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งสื่อ Transit ของ VGI อยู่ในกรุงเทพฯทั้งหมด)

คาดว่าเม็ดเงินโฆษณากลุ่มสื่อนอกบ้านจะปรับตัวลดลง เนื่องจากผู้บริโภคลดการออกจากบ้าน!!

อินเด็กซ์ 51