ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 30 ก.ย.63 ปิดที่ 1,237.04 จุด ลดลง 20.30 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 48,983.70 ล้านบาท นักลงทุนทุกกลุ่มเทขายสุทธิ นำโดยต่างชาติขายสุทธิ 4,013.61 ล้านบาท ขณะที่รายย่อยเป็นกลุ่มเดียวที่ซื้อสุทธิถึง 5,022.36 ล้านบาท
ตลาดปรับตัวลงแรงตามตลาดต่างประเทศ หลังการดีเบตระหว่าง ปธน.ทรัมป์และไบเดนรอบแรกจบลง รวมทั้งมีความกังวลกับการกลับมาใช้เกณฑ์ชอร์ตเซลและซิลลิ่งฟลอร์ตามเกณฑ์ปกติ
บล.เอเซียพลัส สรุปการ Debate เลือกตั้งสหรัฐฯ ระหว่าง Trump-Biden ประเด็นที่ Debate กัน คือ 1.)การแต่งตั้งผู้พิพากษาแทนคนที่เสียชีวิต 2.) การประท้วงด้วยความรุนแรง 3.) Climate Change ฯลฯ
แต่การ Debate ครั้งนี้ทั้ง 2 คนตะโกนและขัดจังหวะกัน ทำให้ประเด็นเรื่องนโยบายที่หลายคนอยากฟังไม่ชัดเจน โดยรวม Poll สำรวจ CNN เผยว่า 65% เทคะแนนไปที่นาย Joe biden มากกว่า ปธน.Trump เชื่อ 29% ถือว่าสอดคล้องกับผลสำรวจในหลายที่ก่อนหน้าเชื่อว่าการเลือกตั้งสหรัฐฯ 3 พ.ย. นาย Joe biden จะชนะ (ทำให้ยังต้องติดตามการ Debate รอบถัดไปในเดือนหน้า 7 ต.ค., 15 ต.ค. และ 22 ต.ค.)
เอเซียพลัส ประเมินว่า หากนาย Joe Biden ชนะการเลือกตั้ง นโยบายสำคัญที่จะมีผลต่อโลก คือ สนับสนุนพลังงานสะอาด อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ นโยบายสนับสนุนการค้า คือ การกลับเข้าร่วมข้อตกลง CTPP และการปรับขึ้นอัตราภาษี Corporate Tax จาก 21% เป็น 28% อาจกดดันให้เม็ดเงินลงทุน (Fund Flow) ไหลออกจากสหรัฐฯแล้วย้ายไปประเทศแถบอื่นๆในเอเชีย
เอเซียพลัสยังระบุประเด็นการกลับมาเปิดให้มีการ Short sales ตามปกติ 1 ต.ค.นี้ ส่งผลให้ตลาดมีโอกาสเห็นปริมาณการ Short sales เพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า ส่งผลให้ตลาดผันผวนมากขึ้น
ดังนั้น วันนี้ฝ่ายวิจัยทำการค้นหาว่ามีหุ้นอะไรที่ถูกกดดันจากประเด็นนี้ โดยเลือกเฉพาะหุ้นที่ valuation แพง และมีการถูก Short sales เป็นปริมาณมากในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ได้ผลลัพธ์หุ้นที่น่าจะถูกกดดันจากประเด็นนี้ 7 บริษัท คือ AOT-MINT-HMPRO-COM7-KCE-DELTA-PTTGC-R และ PTTGC!!
ส่วนหุ้นปลอดภัยที่ไม่ถูกกระทบจากประเด็นดังกล่าว เลือกเฉพาะหุ้นเล็กพื้นฐานแข็งแกร่งที่ไม่มีการ short sales ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา และเป็นหุ้นที่แนะนำ “ซื้อ” หรือแนะเก็งกำไรช่วงนี้คือ ASK–MCS–NOBLE–STGT–INSET–DCC–NWR และ WORK!!
อินเด็กซ์ 51