ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 1 ก.ย.63 ปิดที่ 1,305.57 จุด ลดลง 5.09 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 48,635.56 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,490.50 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด CPF ปิด 31.50 บาท ลบ 0.75 บาท, BAM ปิด 22.50 บาท ลบ 0.80 บาท, KBANK ปิด 82.75 บาท ลบ 1.50 บาท, CPALL ปิด 63 บาท ลบ 0.50 บาท และ MINT ปิด 21.80 บาท ลบ 0.60 บาท
หุ้นไทยปรับตัวลงหลังมีข่าว “ปรีดี ดาวฉาย” รมว.คลังลาออกจากตำแหน่ง ทำให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจในการลงทุน และกังวลว่าเกิดปัญหาอะไรภายในรัฐบาล กระทบต่อการออกมาตรการการคลังมาพยุงเศรษฐกิจ
ขณะที่ บล.เอเซียพลัส มองว่า การลาออกจากตำแหน่ง รมว.คลังของ “ปรีดี” จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น และยังกระทบกับค่าเงินบาท ซึ่งคาดว่าจะทำให้ค่าเงินบาทชะลอการแข็งค่า หรือมีแนวโน้มอ่อนค่าลงในช่วงสั้น นอกจากนี้ยังกระทบมาตรการกระตุ้นการคลังในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ก่อนมีปัจจัยเรื่องการลาออกของ รมว.คลัง เอเซีย พลัส ได้ออกบทวิเคราะห์ประเมินการลงทุนเดือน ก.ย.ระบุว่า ความกังวล COVID-19 มีแนวโน้มผ่อนคลายลง บวกกับสภาพคล่องส่วนเกินที่ล้นระบบ คาดว่าจะหนุน SET Index ปรับตัวขึ้นต่อจากนี้
แนะกลยุทธ์เพิ่มน้ำหนักพอร์ตหุ้นไทยเป็น 40% ของพอร์ต (Overweight) เน้นหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง ที่มีแนวโน้มกำไรโดดเด่นในช่วง 2H63 อย่าง BEM, CRC, DCC, STGT, TFG และ SVI ในทางตรงกันข้ามหุ้นที่ราคาเกินมูลค่าพื้นฐานไปมาก ต้องระมัดระวังในการซื้อขาย คือ CENTEL, HMPRO
ส่วนการลงทุนต่างประเทศแม้หลายปัจจัยลบจะเริ่มคลี่คลายลง และสภาพคล่องส่วนเกินในระบบทำให้ตลาดหุ้นพัฒนาแล้วหลายแห่ง ทยอยปรับตัวขึ้นสวนทาง Valuation ซึ่งทำให้มีความน่าสนใจน้อยลง โดยคงน้ำหนักหุ้นต่างประเทศไว้ที่ 15% ของพอร์ตการลงทุน (Underweight) โดยเน้นหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวอย่าง Bayer AG และ Global Payments Inc
ส่วนพอร์ตตราสารหนี้ แม้ความกังวลไวรัส COVID-19 ที่ลดลง หนุน Fund Flow ไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯกับจีนยังเหลืออยู่
จึงแนะกลยุทธ์การลงทุน ยังคงน้ำหนักตราสารหนี้ที่ 25% ของพอร์ตรวม เน้นลงทุนตราสารหนี้ที่ Duration เฉลี่ยไม่เกิน 3 ปี และมี Rating ระดับ Investment grade ขึ้นไป เลือก SCC244A และ CPNREIT232A!!
อินเด็กซ์ 51