ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 17 ส.ค.63 ปิดที่ 1,320.91 จุด ลดลง 6.14 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 47,812.94 ล้านบาท หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด STGT ปิด 65.50 บาท ลบ 7.50 บาท, CPALL ปิด 65.25 บาท ลบ 0.50 บาท, KBANK ปิด 87.75 บาท ลบ 1.25 บาท, MINT ปิด 20.70 บาท บวก 0.60 บาท และ AOT ปิด 54.25 บาท บวก 0.25 บาท
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) คาดกรอบดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์นี้แกว่ง 1,310-1,350 จุด หลังผ่านฤดูกาลส่งงบไปแล้วโดยสถานการณ์โควิด-19 การคิดค้นวัคซีนมีโอกาสสำเร็จสูง โดยเฉพาะรัสเซีย-จีน ขณะที่หลายประเทศพิจารณาเปิดให้เดินทางข้ามประเทศได้แล้ว และประเทศส่วนใหญ่ทยอยกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่นักลงทุนยังรอดูนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลหลังปรับ ครม.เศรษฐกิจชุดใหม่เข้ามา
ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่เป็นตัวถ่วง คืองบเยียวยาเศรษฐกิจสหรัฐฯ $1.1 ล้านล้านเหรียญยังไม่ผ่านสภาฯ และการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนถูกเลื่อนออกไปจากวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ยังมีตัวแปร
แรงกดดันในประเทศ การเคลื่อนไหวของกลุ่มเรียกร้องทางการเมือง ส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/63 ของบริษัทจดทะเบียน ตลาดหุ้นไทยมีกำไรรวมกันที่ 1.19 แสนล้านบาท ติดลบ 45% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทำให้อาจมีแรงขายเข้ามาหลังส่งงบจบลง โดยมองแนวโน้มไตรมาส 3 ยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน ทำให้มีโอกาสจะถูกปรับลดคาดการณ์กำไรปีนี้ลงไปอีก ขณะที่ล่าสุด สภาพัฒน์ประกาศจีดีพีไตรมาส 2 ติดลบ 12.2%
แนะกลยุทธ์ลงทุน มองตลาดยังไปไหนได้ไม่ไกล ความสำเร็จในการผลิตวัคซีนจะเป็นตัวหนุนตลาด แต่ตัวถ่วงยังมีอยู่หลายปัจจัย โดยเฉพาะสถานการณ์การเมืองในประเทศ ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนให้เน้นตั้งรับ แนวรับสำคัญของดัชนีอยู่ที่ 1,310-1,320 จุด โดยเข้าซื้อเพื่อเล่นสั้นๆ ด้วยเม็ดเงินในตลาดที่มีจำกัด หลังฝรั่งยังไม่ซื้อหุ้นไทย ทำให้ต้องมีการเวียนกลุ่มเล่นอยู่ต่อไป
หุ้นพอร์ตหลักประกอบด้วย KCE (10%), BGRIM (10%),SYNEX (20%), CENTEL (10%) ส่วนพอร์ต KTBST SET 50 ADVANC (20%), CPALL (10%), BH (10%), AOT (10%), LH (10%), PTTGC (10%)
อินเด็กซ์ 51