ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 11 มี.ค.63 ปิดที่ 1,249.89 จุด ลดลง 21.36 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 72,236.43 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 3,925.70 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 29.25 บาท บวก 0.75 บาท, PTTEP ปิด 72.25 บาท บวก 1.75 บาท, BAM ปิด 23.50 บาท ลบ 1.30 บาท, GULF ปิด 151.50 บาท ลบ 17 บาท และ ADVANC ปิด 185.00 บาท ลบ 6.50 บาท
ตลาดหุ้นไทยกลับมาปรับตัวลงอีกครั้ง จากความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้มีการเทขายหุ้นใหญ่ทั้งพลังงาน แบงก์และสื่อสาร
ขณะที่มีข่าวธนาคารไทยพาณิชย์ ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนผ่านตลาดหลักทรัพย์เพื่อบริหารทางการเงินกำหนดจำนวนหุ้นที่ซื้อคืน 135.96 ล้านหุ้น หรือ 4% ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว วงเงินซื้อหุ้นคืน 16,000 ล้านบาท โดยกำหนดวันเริ่มต้นและสิ้นสุดวันที่ 20 เม.ย. ถึง 19 ต.ค.63
ขณะที่ บล.บัวหลวง ออกบทวิเคราะห์ประเมินหุ้นกลุ่ม consumer ว่าใครได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ดิ่งลงมา โดยในกลุ่มค้าปลีก
และผู้ผลิตสินค้า จะสามารถประหยัดต้นทุนและค่าขนส่งได้ คาดว่าจะมีผลบวกต่อกำไร ดังนี้ TOA 4.7%, ILM 3.2%, OSP 2.4%, CBG 1.7%, BJC 1.3%, HMPRO 1.1%, และสำหรับ CPALL-M- GLOBAL-AU-CPN-MAKRO มีผลบวกต่อกำไรน้อยกว่า 1%
สำหรับกลุ่มอสังหาฯ (บ้าน) ทุกๆ 10% ที่น้ำมันลงจะทำให้มาร์จิ้นดีขึ้น 2-3% แต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะเห็นกำไรที่ดีขึ้น แต่จะทำให้บริษัทพัฒนาอสังหาฯไม่เจ็บตัวเมื่อต้องลดราคาให้ลูกค้าในสภาพตลาดปัจจุบัน ส่วนกลุ่มโรงพยาบาล และโรงแรม คาดว่าผลกระทบจำกัด
ทั้งนี้ มองกลยุทธ์ Action ระยะสั้นแนะเพิ่ม TOA เข้าพอร์ต Tactical Strategy (weekly) ซึ่งเป็นหุ้นที่จะได้ประโยชน์มากสุดจากต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวลงตามราคาน้ำมัน
ส่วน Fundamental มองว่าหุ้นที่จะได้ประโยชน์จาก theme นี้มากที่สุดคือ TOA, OSP, CBG, HMPRO, ILM และ BJC.
อินเด็กซ์ 51