ปี 2562 ที่ผ่านไป ถือเป็น “ปีทองของตลาดหุ้นโลก” ยกเว้น “ตลาดหุ้นไทย” วันที่ 31 ธันวาคม ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ต่างเปิดซื้อขายตามปกติ ปิดวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม มีแต่ตลาดหุ้นไทยที่ซื้อขายแค่ 30 ธันวาคม เพราะรัฐบาลขี้เกียจหยุดยาวข้ามปี 30 ธันวาคมดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 1,579.84 จุด เพิ่มขึ้น 1.62 จุด มีมูลค่าการซื้อขายเพียง 29,500 กว่าล้านบาท นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิอีก 1,300 กว่าล้านบาท มีแต่นักลงทุนสถาบันที่ซื้อสุทธิกว่า 2,400 ล้านบาท
ตลาดหุ้นไทยปี 2562 ให้ผลตอบแทนน้อยมากเพียง 1% ต่ำกว่าตลาดหุ้นโลกมาก ชนะเพียงเพื่อนบ้านประเทศเดียวคือ มาเลเซีย ที่มีผลตอบแทนติดลบ 4.7%
วันแรกที่เปิดการซื้อขายในปี 2562 ดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 1,563.88 จุด ขึ้นไปทำสถิติสูงสุด 1,740.91 จุดแป๊บเดียวเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม จากนั้นก็ร่วงลงมาเรื่อยจากการเทขายของนักลงทุนต่างชาติ 17 ธันวาคมดัชนีหุ้นไทยลงไปทำสถิติต่ำสุดในรอบปีที่ 1,548.65 จุด ก่อนจะปิดที่ 1,579.84 จุดในวันสุดท้ายของปี ปี 2562 ทั้งปีดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้นเพียง 15.96 จุด หักปากกาเซียนนักวิเคราะห์ทุกสำนักในประเทศไทย
ข้อมูลที่น่าตกใจก็คือ ครึ่งปีแรกนักลงทุนต่างชาติยังซื้อหุ้นไทยสุทธิ 50,000 ล้านบาท แต่ปิดบัญชีวันที่ 30 ธันวาคม นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 44,000 ล้านบาท และยังขายตราสารหนี้ไปอีก 84,000 ล้านบาท รวมเบ็ดเสร็จนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นและตราสารหนี้ไป 128,000 ล้านบาท ทำให้ใน 3 ปีที่ผ่านมาในยุครัฐบาล คสช.และรัฐบาลต่อท่ออำนาจ คสช. นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิไปแล้ว 357,000 ล้านบาท ไม่รู้ปี 2563 จะยังขายต่ออีกหรือไม่ จากที่เคยถือหุ้นไทยสูงถึง 600,000 ล้านบาท น่าเป็นห่วงนะครับ
ทีนี้ไปดูตลาดหุ้นโลกกันบ้าง นักลงทุนแฮปปี้กันถ้วนหน้าด้วยตัวเลข 2 หลักทุกตลาด จนกลายเป็น “ปีทองของหุ้นโลก” อาทิ ดัชนีหุ้น S&P 500 บวกขึ้นไป 30% (ไม่รวมวันที่ 31 ธันวาคม) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์บวกขึ้นไปเกือบ 23% เป็นปีทองของตลาดหุ้นสหรัฐฯเลยทีเดียว ตลาดหุ้นยุโรปก็บวกขึ้นไป 22% โดย ฝรั่งเศส เยอรมนี บวกขึ้นไป 27% รัสเซีย บวกขึ้นไป 28% ออสเตรเลีย บวกขึ้นไป 21%
ตลาดหุ้นเอเชีย ส่วนใหญ่ก็บวกขึ้นไปสองหลักเหมือนกัน ไต้หวัน บวกขึ้นไป 24.3% จีน บวกขึ้นไป 21.9% ญี่ปุ่น บวกขึ้นไป 18.3% อินเดีย บวกขึ้นไป 15.3% ฮ่องกง ที่เจอวิกฤติการประท้วงยาวนานกว่า 6 เดือน ก็ยังบวกขึ้นไป 9.2% เกาหลีใต้ บวกขึ้นไป 8% สิงคโปร์ บวกขึ้นไป 5.1% ฟิลิปปินส์ บวกขึ้นไป 4.7% อินโดนีเซีย บวกขึ้นไป 2.2% และ ไทย บวกขึ้นไปแค่ 1% ดีกว่า มาเลเซีย ที่ติดลบ 4.7%
การใช้นโยบายการเงินการคลังที่ผิดพลาดหลายครั้ง ของ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่เพียง ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอให้ตกต่ำลงไปอีก แต่ยัง ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อตลาดหุ้นไทยอย่างรุนแรง อีกด้วย
บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส วิเคราะห์ว่า ปี 2563 ยังมีโอกาสที่เงินลงทุนต่างชาติจะชะลอตัวลงไปอีก จากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำกว่าที่คาดจากเศรษฐกิจโลก ที่สำคัญ ปี 2563 ยังเป็นปีแรกที่ไม่มีเม็ดเงินลงทุนจากกองทุนรวม LTF เข้ามาช่วยหนุน (เพราะรัฐบาลให้ยกเลิกไปแล้ว) ถือเป็นปัจจัยความเสี่ยงที่สำคัญต่อตลาดหุ้นไทยปีนี้ เมื่อพิจารณาถึง fund flow ย้อนหลัง 5 ปีจากปี 2557-2562 แม้ว่าต่างชาติจะขายสุทธิหุ้นไทยไปกว่า 600,000 ล้านบาท แต่ นักลงทุนสถาบันของไทย (เช่นกองทุน LTF/RMF) ได้ช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยเอาไว้โดยการซื้อหุ้นอย่างต่อเนื่อง 500,000 ล้านบาท และ กองทุน LTF มีสัดส่วนการซื้อหุ้นไทยกว่าครึ่งของเงินลงทุนจากกองทุนในประเทศทั้งหมด
เห็นไหมครับ กองทุน LTF มีส่วนช่วยพยุงตลาดหุ้นไทยมากขนาดไหน ในยามที่นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยอย่างไม่ยั้ง คิดผิดก็คิดใหม่ได้นะครับ ท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปและไม่หวนกลับมาอีก.
“ลม เปลี่ยนทิศ”