ตลาดหุ้นไทยเมื่อวันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เรียกเสียงฮือฮาลั่นกราว เมื่อปิดตลาดดีดแรง 29.73 จุด ปิดที่ 1,622.25 จุด เพิ่มขึ้น 1.87% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 64,499.36 ล้านบาท
โดยระหว่างวัน ดัชนีหุ้นได้ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,624.83 จุด และมีจุดต่ำสุดที่ 1,600.95 จุด
รับแรงซื้อกลับหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าและบิ๊กแคปหนุนตลาด จากประเด็นข่าวที่เป็นบวกของ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ รวมถึงหุ้นใหญ่ที่ก่อนหน้านี้ปรับลดลงมากพอสมควร
ทั้งยังได้แรงหนุนจากปัจจัยต่างประเทศที่เริ่มมีความคลี่คลายของการเจรจาการค้าสหรัฐฯกับจีน ที่มีแนวโน้มดีขึ้น และตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯกับจีนออกมาดี และมีประเด็นบวกจากการประชุมสุดยอดอาเซียนที่ไทยเป็นเจ้าภาพ โดยคาดว่าจะมีข้อสรุปการเจรจาทำความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และมีความมุ่งมั่นที่จะให้มีการลงนามข้อตกลงทางการค้าร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกทั้ง 16 ประเทศ ในปี 2563 ต่อไป ซึ่งอาจจะมีดีลการค้าขนาดใหญ่เกิดขึ้น
เนื่องจาก RCEP มีขนาดเศรษฐกิจคิดเป็น 1 ใน 3 ของจีดีพีโลก หนุนการลงทุนตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียในวันนี้ด้วย
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ยังจะไม่ขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากยุโรปด้วย
ขณะเดียวกันยังได้อานิสงส์จากความเป็นไปได้ที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.50% โดยหากวันที่ 6 พฤศจิกายนนี้ กนง.มีมติลดอัตราดอกเบี้ยลงจริง จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลลดต่ำลงไปอีก ทำให้เงินทุนมีโอกาสจะไหลกลับมาลงในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้อาจจะไม่ได้มาก แต่บรรดาโบรกเกอร์ต่างฟันธงว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงสิ้นปีนี้จะสามารถปิดยืนเหนือ 1,600 จุดได้ แม้ว่าผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) อาจจะไม่ได้โดดเด่นนักก็ตาม ขณะที่เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติก็ยังไม่ได้ไหลเข้ามาลงทุนมากนัก
โดยแรงซื้อหุ้นในช่วงปลายปีจะมาจากเม็ดเงินในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะกองทุน LTF และ RMF ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ตลาดหุ้นไทยคงจะแกว่งไซด์เวย์ออกด้านข้าง มีแนวรับ 1,610 จุด ส่วนแนวต้าน 1,640 จุด!!!
อินเด็กซ์ 51