ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 4 ก.ค.62 ปิดที่ 1,724.37 จุด ลดลง 14.14 จุด มี มูลค่าซื้อขาย 88,848.99 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,599.63 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด GULF ปิด 125.50 บาท ลบ 3 บาท, GPSC ปิด 69.25 บาท ลบ 2.50 บาท, CPALL ปิด 85.50 บาท ลบ 1 บาท, BCPG ปิด 19.20 บาท ลบ 1.80 บาท และ PTT ปิด 48.25 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง
ตลาดปรับตัวลงแรงภาคบ่าย จากแรงเทขายหนักในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าและหุ้นขนาดใหญ่กดตลาดภาพรวม ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นร่วม 9 หมื่นล้านบาท
บล.กสิกรไทย คาดรัฐบาลใหม่ ภายใต้พลเอก ประยุทธ์ จันทน์โอชา จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเร่งด่วนเห็นผลทันต
โดยมาตรการกระตุ้นแบบ fast-moving นี้ จะถูกนำมาใช้เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ เช่น การสนับสนุนรายได้ให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการรัฐ เงินชดเชยให้กลุ่มเกษตรกรขนาดเล็ก การหักลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ค่าเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ เป็นต้น
ระยะถัดไปอาจเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้น เช่น มาตรการกระตุ้นอสังหาฯเพื่อการอยู่อาศัย การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานตัวเมืองในต่างจังหวัด เงินชดเชยราคาสินค้าเกษตรที่มีระบบมากขึ้น การสนับสนุน SME รวมทั้งรัฐบาลใหม่จะเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น และเร่งโครงการ EEC และรถไฟฟ้าความเร็วสูง
ทั้งนี้ กสิกรไทยมองกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาลใหม่ ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (CPALL, MAKRO, HMPRO, ROBINS, BJC, GLOBAL) จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากรายได้ในครัวเรือนที่สูงขึ้นซึ่งจะกลายมาเป็น SSSG ที่สูงขึ้น
กลุ่มรับเหมาโยธา (CK และ STEC) และกลุ่มขนส่งทางราง (BTS และ BEM) จะได้ประโยชน์จากการประมูลโครงการภาครัฐภายใต้รัฐบาลชุดใหม่
กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (AMATA, WHA, FPT) จะได้ประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่สูงขึ้นภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ และจากการย้ายฐานโรงงานจากจีน กลุ่มอสังหาฯ (LH, PSH, QH, ORI, AP, SPALI, SC) คาดจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯและดอกเบี้ยขาลง!!
อินเด็กซ์ 51