นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า คาดว่ากำไรสุทธิกลุ่มธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์ไตรมาส 1 ปีนี้ จะปรับตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมูลค่าการซื้อขายปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยไตรมาส 1 มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 44,000 ล้านบาท/วัน สูงสุดอยู่ที่ 68,000 ล้านบาท/วัน ขณะที่เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 61 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 69,000 ล้านบาท/วัน และสูงสุดขึ้นไปถึง 120,000 ล้านบาท/วัน ขณะเดียวกันสัดส่วนนักลงทุนรายย่อยลดลงเหลือราว 36-38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ระดับกว่า 42-43%
รวมถึงอัตราค่าคอมมิชชันหรือค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยของอุตสาหกรรมก็ปรับตัวลดลงเหลือเฉลี่ยเพียง 0.10% จากปีก่อนที่ 0.13-0.14% เนื่องจากมีการแข่งขันสูงทำให้แข่งกันลดค่าคอมมิชชัน
ทั้งนี้ มองว่าธุรกิจโบรกเกอร์อยู่ในภาวะต่ำสุดแล้ว โดยอุตสาหกรรมกำลังปรับตัวและพัฒนาศักยภาพการแข่งขัน โดยในระยะต่อไปจะเน้นบริการที่ตอบสนองลูกค้ามากขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าและค่าคอมมิชชัน เช่น บริการบริหารพอร์ตการลงทุนให้ลูกค้า บริการด้านเครื่องมือและเทคโนโลยีการลงทุนต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน ซึ่งคาดว่าอุตสาหกรรมจะฟื้นตัวได้ภายใน 1-2 ปีข้างหน้า
“ธุรกิจโบรกเกอร์ขณะนี้อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านหรือ Transform เข้าสู่ยุคถัดไป ช่วงนี้ก็อาจจะทรงๆ แต่ไม่น่าจะต่ำไปกว่านี้อีกแล้ว คาดว่าภายใน 1-2 ปี ธุรกิจโบรกเกอร์จะกลับมาอยู่ในระดับที่ดีอีกครั้ง”
นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย กล่าวต่อว่า มองว่าขณะนี้เม็ดเงินต่างชาติยังเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ไม่มากนัก ขณะที่นักลงทุนในประเทศก็รอดูท่าทีของเม็ดเงินต่างชาติเช่นกัน ทำให้ภาพรวมตลาดจะเป็นลักษณะแกว่งตัวไซด์เวย์ขึ้น-ลงไม่มาก
นางภัทธีรา ยังให้ความเห็นถึง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฉบับแก้ไขใหม่ที่เปิดโอกาสให้บริษัทหลักทรัพย์ที่ไม่ใช่สมาชิก สามารถซื้อขายหุ้นไทยได้ว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม เนื่องจากนักลงทุนจะยังคงใช้บริการบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิก เนื่องจากมีความปลอดภัยมากกว่า โดยมองว่าเกณฑ์ดังกล่าวทำขึ้นเพื่อปลดล็อกการเชื่อมต่อระหว่างหุ้นไทยกับตลาดหุ้นต่างประเทศมากกว่า.