ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 3 ก.ค.61 ปิดที่ 1,626.62 จุด เพิ่มขึ้น 19.35 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 58,567.28 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 3,288.48 ล้านบาท
หุ้นที่ซื้อขายสูงสุด PTTGC ปิด 74.25 บาท บวก 3 บาท, PTT ปิด 47.50 บาท ลบ 0.25 บาท, SCC ปิด 418 บาท ลบ 6 บาท, PTTEP ปิด 134 บาท บวก 1.50 บาท และ CPALL ปิด 75.50 บาท บวก 0.50 บาท
หุ้น PTTGC แม้จะดีดกลับขึ้นมาได้เล็กน้อย ล่าสุดมาปิดที่ 74.25 บาท แต่ราคาวันก่อนร่วงทำนิวโลว์รอบเกือบ 1 ปี โดยแตะจุดต่ำสุดที่ 69.50 บาท หลังกังวลผลกระทบกรณี GGC ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ตรวจพบสินค้าคงคลังหาย มูลค่ากว่า 2.1 พันล้านบาท
มุมมองนักวิเคราะห์ ชี้ตลาดแพนิคมากเกินไป ขณะที่ยังคงคาดการณ์กำไรปกติปีนี้ทำสถิติใหม่ สะท้อนพื้นฐานแข็งแกร่ง ส่งผลให้อัตราตอบแทนจากเงินปันผลเพิ่มขึ้น โดย บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ ระบุ ผลกระทบต่อ PTTGC& PTT จำกัด โดยกรณีที่แย่สุดคือ GGC ต้องตั้งสำรองฯสำหรับมูลค่าสต๊อกที่หายไปเต็ม 2.1 พันล้านบาท ก็จะกระทบต่อ PTTGC 1.52 พันล้านบาท (PTTGC ถือหุ้น GGC อยู่ 72.29%) คิดเป็น 0.34 บาท/หุ้นของ PTTGC และคิดเป็น 3.7% ของคาดการณ์ EPS ทั้งปี 61
ด้าน บล.ทิสโก้ ยังคงแนะ “ซื้อ” PTTGC ให้มูลค่าที่เหมาะสม 100 บาท
ปิดท้าย “ภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการและผู้จัดการตลาดหุ้น ให้ความเห็นว่าหุ้นไทยช่วงนี้ที่มีความผันผวนมาก เพราะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก ทำให้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลออก ทั้งกังวลสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ การลดสภาพคล่องของตลาดเงินทั่วโลก การปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ส่งผลให้เงินทุนต่างชาติไหลออกจากประเทศตลาดเกิดใหม่เพื่อโยกไปลงทุนในประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ
ปัจจุบันต่างชาติยังถือครองหุ้นไทย 30% ใกล้เคียงกับช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา และเชื่อว่าพื้นฐานเศรษฐกิจที่มีความแข็งแกร่งจะทำให้ต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยได้อีกครั้ง
ทั้งนี้ แนะให้เลือกลงทุนหุ้นที่มีผลกระทบน้อยจากปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งบริษัทจดทะเบียนไทยค่าเฉลี่ยให้ปันผล 3% และปัจจุบันระดับ P/E ต่ำเพียง 15 เท่า จึงควรจะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส!!
อินเด็กซ์ 51