ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 30 เม.ย.61 ปิดที่ 1,780.11 จุด เพิ่มขึ้น 2.09 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 47,679.28 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,723.11 ล้านบาท
หุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด AOT ปิด 71.25 บาท ลบ 0.50 บาท, PTT ปิด 56.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง, EA ปิด 36 บาท ลบ 0.50 บาท, SCC ปิด 468 บาท ลบ 2 บาท, CPALL ปิด 87 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง
“ณัฐชาต เมฆมาสิน” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ประเมินทิศทางหุ้นไทยเดือน พ.ค.ว่า ปัจจัยสำคัญซึ่งมีอิทธิพลต่อทิศทางตลาด คือการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ของ Bond yield สหรัฐฯ โดยรุ่นอายุ 10 ปีขึ้นมายืนเหนือ 3% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2011
การปรับตัวขึ้นมาของ Bond yield สหรัฐฯ ทำให้ Earning yield gap ของตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2007 บ่งชี้ว่าหุ้นไทยมีความน่าสนใจลดลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับพันธบัตรสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ทรีนีตี้มองว่า ผลประกอบการ บจ.ไม่ได้ช่วยหนุนการปรับขึ้นของดัชนี โดยล่าสุดประมาณการ EPS ของ SET Index ถูกปรับลดลงทั้งในส่วนของปี 2018 และ 2019 ส่งผลให้ Valuation ของหุ้นไทยแพงขึ้นโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นผลจากการที่นักวิเคราะห์ออกมา Downgrade ผลประกอบการของกลุ่มหุ้นใหญ่
อีกปัจจัยที่อาจกดดันตลาดได้แก่ ความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันดิบอาจมีการปรับฐานลงในระยะสั้น และการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกดดันต่อราคาโภคภัณฑ์โดยรวม รวมทั้งปัจจัยที่อาจจำกัด Upside หรือการปรับขึ้นของราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานและตลาด ได้แก่ การพักตัวของหุ้น PTT หลังแตกพาร์
สำหรับธีมการลงทุนแนะเลือกหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว เช่น กลุ่มปิโตรเคมีที่ Spread ของราคาผลิตภัณฑ์ยังอยู่ระดับสูง ได้แก่ IVL (ให้ราคาเป้าหมาย 70 บาท), MINT (เป้า 48 บาท) และ ERW (เป้า 8.90 บาท)
นอกจากนี้ยังแนะหุ้นกลุ่มนิคมฯและ Logistics properties ที่ได้ประโยชน์จากการขอ BOI เพิ่มขึ้น AMATA และ WHA (ราคาเป้าหมาย Consensus อยู่ที่ 27 บาท และ 4.60 บาทตามลำดับ) รวมทั้งหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มี Dividend yield สูง ได้แก่ QH (เป้า 3.85 บาท) และ AP (เป้า 9.20 บาท) และกลุ่มสื่อสารเลือก ADVANC (เป้า 217 บาท) และ TRUE (เป้า 8.30 บาท)
ระยะสั้นแนะหุ้นชิ้นส่วนฯได้อานิสงส์จากเงินบาทที่อ่อนค่า KCE (เป้า 88 บาท) และ HANA (เป้า 44 บาท)
อินเด็กซ์ 51