ลดน้ำหนักลงทุนหุ้นแบงก์ “สมคิด” ไม่ห่วงดัชนีร่วงท่องคาถา ศก.เจ๋ง

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

ลดน้ำหนักลงทุนหุ้นแบงก์ “สมคิด” ไม่ห่วงดัชนีร่วงท่องคาถา ศก.เจ๋ง

Date Time: 6 เม.ย. 2561 06:01 น.

Summary

  • “สมคิด” ไม่ห่วงหุ้นไทยดิ่ง แค่วิตกสงครามการค้าและรายได้แบงก์ลด แต่พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังดี ขณะที่หุ้นไทยดีดกลับบวก 14 จุด หลังทิ้งดิ่งกว่า 40 จุดวันก่อน แต่หุ้นแบงก์ยังกดดันการลงทุน

Latest

เปิดพอร์ตหุ้น หมอบุญ วนาสิน จากผู้ก่อ THG เหลืออันดับที่ 11 สู่หมายจับฉ้อโกงกู้เงิน 8 พันล้าน

“สมคิด” ไม่ห่วงหุ้นไทยดิ่ง แค่วิตกสงครามการค้าและรายได้แบงก์ลด แต่พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังดี ขณะที่หุ้นไทยดีดกลับบวก 14 จุด หลังทิ้งดิ่งกว่า 40 จุดวันก่อน แต่หุ้นแบงก์ยังกดดันการลงทุน โดยโบรกเกอร์ต่างพร้อมใจกันลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นแบงก์ลง หลังเปิดศึกค่าธรรมเนียมทำรายได้หดกระทบกำไร

ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะตลาดหุ้นไทยวันที่ 5 เม.ย.ว่า ดัชนีดีดตัวกลับขึ้นมา หลังวันก่อนปรับตัวลงหนักกว่า 40 จุด จากความกังวลสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา โดยมีแรงซื้อคืนในหุ้นที่ราคาปรับตัวลงแรงเกินเหตุ ส่งผลให้ดัชนีมาปิดตลาดที่ 1,739.92 จุด บวก 14.94 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 61,091.89 ล้านบาท โดยหุ้นกลุ่มแบงก์จะยังคงกดดันบรรยากาศการลงทุนในภาพรวม ขณะที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่างปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มแบงก์ลง หลังได้รับผลกระทบจากการประกาศฟรีค่าธรรมเนียมบริการออนไลน์

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมาปรับตัวลงแรงกว่า 40 จุด ว่า เพราะนักลงทุนวิตกกังวล สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ เพราะทั้ง 2 ประเทศมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 1 และ 2 ของโลก ดังนั้นแทบทุกประเทศจึงมีความเกี่ยวข้องในทางการค้ากับจีนและสหรัฐฯ และอีกสาเหตุที่ทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลง มาจากความกังวลเกี่ยวกับการงดเก็บค่าธรรมเนียมของกลุ่มธนาคารที่จะกระทบเรื่องรายได้ ซึ่งถ้าอยู่นิ่งๆไม่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะสั้น สถานการณ์ก็จะคลี่คลายเอง อย่างไรก็ตาม ได้เตรียมการรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น จากสงครามการค้าจีนสหรัฐฯไว้แล้ว “ผมมองว่าเป็นผลกระทบระยะสั้น แต่ในแง่พื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งไม่มีอะไรน่าห่วง เพราะการส่งออกปรับตัวดีขึ้น เงินสำรองระหว่างประเทศก็อยู่ในปริมาณที่สูง ดังนั้นคิดว่าความกังวลจะเกิดขึ้นระยะสั้นเท่านั้น”

ด้านสำนักวิเคราะห์ต่างๆของบริษัทหลักทรัพย์หรือโบรกเกอร์ ต่างพร้อมใจกันปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มแบงก์ สะท้อนรายได้ค่าธรรมเนียมที่หดตัวลง ทำให้ต้องปรับลดประมาณการผลการดำเนินงานของกลุ่มแบงก์ลง ส่งผลต่อเนื่องถึงการลดคำแนะนำการลงทุนในหุ้นแบงก์ หลังเปิดศึกฟรีค่าธรรมเนียม ผ่านช่องทาง Mobile banking และ Internet banking

โดย บล.เอเซียพลัส ระบุว่า เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นกลุ่มแบงก์ จากประเด็นสงครามแย่งชิงลูกค้าออนไลน์ที่รุนแรงกว่าคาด จึง ปรับลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มแบงก์เป็น “น้อยกว่าตลาด” จากเดิม “เท่ากับตลาด” หลังธนาคารกสิกรไทย (KBANK) นำร่องลดเป้ารายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยปี 61 สร้างความกังวลอย่างหนักเกี่ยวกับการฟรีค่าธรรมเนียม ที่จะกระทบต่อรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยของแบงก์อื่นๆด้วย เพราะบ่งชี้ว่ารายได้ค่าธรรมเนียมลดลงเร็วกว่าคาดมาก โดยคาดกันว่าในที่สุดแล้ว แบงก์อื่นจะปรับลดเป้าหมายรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลงตาม KBANK เอเซียพลัสจึงปรับลดเป้ารายได้ค่าธรรมเนียมของไทยพาณิชย์ (SCB), กรุงไทย (KTB), กรุงเทพ (BBL), กรุงศรีอยุธยา (BAY) และธนาคารทหารไทย (TMB) ลงเช่นกัน ส่งผลให้รายได้ค่าธรรมเนียมของกลุ่มแบงก์ปี 61 เติบโตลดลงเหลือ 0.9% และ ปี 62 เติบโต 5.1% จากปีก่อน กระทบต่อประมาณการกำไรสุทธิกลุ่มแบงก์โดยรวม คาดว่าปีนี้จะโตเพียง 7.9% และปีหน้าโตเพียง 9.8%

ด้าน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ปรับลดน้ำหนักลงทุนกลุ่มแบงก์ เป็น “เท่ากับตลาด” จากเดิม “มากกว่าตลาด” โดยคาดว่า KBANK และ SCB กระทบหนักสุด เพราะมีฐานลูกค้า Mobile banking มากเป็นลำดับที่ 1 และ 2 ขณะที่ KTB และ BBL กระทบปานกลาง เพราะมีฐานลูกค้า Mobile banking น้อยกว่า ส่วน BAY กระทบน้อยที่สุด ขณะที่ TMB เสี่ยงที่จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในระยะกลางและยาว และจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นเพื่อชิงฐานลูกค้า และมีความเป็นไปได้สูงที่ธนาคารอาจประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมอื่นๆตามมาได้อีก.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ