"คลัง" พร้อมถกปมลดภาษีดีเซล "พลังงาน" ชี้ใช้กองทุนน้ำมันอุ้มต่อได้ 4 เดือน

“กุลิศ” ปลัดพลังงาน แจงประชาชน หากคลังไม่ต่อลดภาษีดีเซล 5 บาท 20 ก.ค.นี้ กองทุนน้ำมันฯยังมีเงินอุ้มราคาน้ำมันดีเซล 32 บาท ต่อได้นาน 4 เดือน ด้าน อาคม–สุพัฒน์พงษ์ ชี้อยู่ระหว่างหารือ เหลือเวลาอีก 2 เดือน หากราคาน้ำมันโลกพุ่งแรง จ่อชงมาตรการลดผลกระทบเข้า ครม.ให้ กกต.พิจารณา เนื่องจากเป็นรัฐบาลรักษาการ

นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงกรณีที่กระทรวงการคลัง อาจจะไม่ต่ออายุมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตรที่จะสิ้นสุดในวันที่ 20 ก.ค.นี้ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลปรับขึ้นทันที 5 บาทต่อลิตร เป็น 37 บาทต่อลิตร ราคาจาก 32 บาท ต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค. ว่า ในช่วงที่ผ่านมาสถานการณ์การต่อหรือไม่ต่อการลดภาษีดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว โดยกระทรวงการคลังจะใช้วิธีประกาศกฎกระทรวงการคลังลงในราชกิจจานุเบกษา ขณะที่การเตรียมการของคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ต้องดูว่าสถานการณ์ในภาพรวมเป็นอย่างไร โดยขณะนี้ผู้ใช้น้ำมันดีเซลถูกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันอยู่ที่ลิตรละ 5.43 บาท ดังนั้น หากไม่มีการต่ออายุมาตรการจะทำให้ราคาน้ำมันปรับขึ้นทันที ในขณะที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวซึ่งจะส่งผลกระทบถึงค่าครองชีพของประชาชน รวมถึงกำลังจะมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ทำให้เกิดช่วงสุญญากาศในการทำงาน

“ผมจึงเตรียมการไว้ โดยพิจารณาว่ากองทุนน้ำมันฯ จะสามารถเข้าไปช่วยดูแลช่วยพยุงราคาน้ำมันให้อยู่ที่ 31.94 บาทได้หรือไม่ เบื้องต้นพบว่าสามารถทำได้เป็นเวลาอีก 3-4 เดือน หรือในช่วงเดือน ส.ค.-พ.ย.นี้ โดยจากสถานะกองทุนน้ำมันขณะนี้ติดลบเหลือ 69,000 ล้านบาท จากเคยติดลบสูงถึง 120,000 ล้านบาท และได้มีการกู้เงินเพื่อชำระหนี้ให้กับผู้ค้ามาตรา 7 รวม 50,000 ล้านบาท ซึ่งกองทุนน้ำมันยืนยันว่าสามารถบริหารได้ ทั้งการจ่ายเงินคืนผู้ค้าน้ำมันและจ่ายคืนดอกเบี้ยเจ้าหนี้ที่กู้ยืมมา”

อย่างไรก็ตาม นายกุลิศยอมรับว่ายังขึ้นกับสถานการณ์ในช่วงต่อไป หากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นกระทรวงพลังงานก็ต้องมาทบทวนสถานการณ์ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศใหม่ รวมถึงหากยังไม่มีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ และยังคงเป็นรัฐบาลรักษาการก็ต้องนำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณาในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินและได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

ขณะเดียวกัน นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รมว.พลังงาน กล่าวถึงกรณีดังกล่าวเพิ่มเติมว่า หากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกผันผวนสูงมากจนอาจกระทบต่อค่าครองชีพประชาชน เมื่อสิ้นสุดมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซล ตนก็จะหารือกระทรวงการคลังในการนำเสนอมาตรการลดผลกระทบให้กับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบและยื่นให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณาต่อไป เนื่องจากขณะนี้เป็นรัฐบาลรักษาการ

“ยังเหลือเวลาอีก 2 เดือนในเรื่องนี้ โดยขณะนี้สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) และ กบน.ก็ติดตามเรื่องนี้ใกล้ชิดอยู่แล้วว่าจะบริหารอย่างไร แต่ปัจจัยหลักต้องดูในเรื่องของราคาน้ำมันตลาดโลกเป็นสำคัญ หากไม่ได้ผันผวนสูงจนเกินไป โดยอยู่ระดับปัจจุบัน ก็ไม่น่าจะมีปัญหาจนถึงต้องมีมาตรการใดๆ เพิ่มเติมมาช่วยเหลือ”

สำหรับค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.นี้ เป็นเรื่องที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ต้องพิจารณาต้นทุนต่างๆ โดยยอมรับว่าราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ตลาดจร (Spot LNG) ลดลงต่อเนื่องและปริมาณก๊าซธรรมชาติในแหล่งเอราวัณจะสามารถผลิตเพิ่มขึ้นในเดือน ก.ค.นี้ เป็น 400 ล้านลูกบาศก์ฟุต (ล้าน ลบ.ฟุต) ต่อวัน เดือน ธ.ค.เพิ่มเป็น 600 ล้าน ลบ.ฟุตต่อวัน และเดือน เม.ย.2567 เพิ่มเป็น 800 ล้าน ลบ.ฟุตต่อวัน อย่างไรก็ตาม ค่าไฟฟ้าที่ระบุจะลดลง 70 สตางค์ต่อหน่วยก็เป็นเรื่องตัวเลขของแต่ละพรรคการเมือง ส่วนจะลดเท่าใดสุดท้าย กกพ.จะต้องไปพิจารณาจากองค์ประกอบหลายๆอย่าง

ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงานพร้อมที่จะหารือกับอีกครั้งเกี่ยวกับมาตรการดูแลราคาน้ำมันดีเซล โดยขณะนี้ยังเหลือระยะเวลาอีก 2 เดือน ก่อนที่มาตรการนี้จะสิ้นสุดลง ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลมาอย่างต่อเนื่อง เพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกอยู่ในระดับสูง แต่ปัจจุบันราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลงแล้ว ทำให้สถานะของกองทุนน้ำมันในขณะนี้สามารถจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันได้เพิ่มขึ้น ซึ่งหมายความว่าหากไม่มีมาตรการภาษีสรรพสามิตต่อไปกองทุนน้ำมันฯก็สามารถใช้การบริหารสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯมาบริหารจัดการได้.