กองทุนน้ำมันอ่วมลบ 1.18 แสนล้าน ผ่อนคุมเดินทางใช้น้ำมันพุ่ง

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนัก งานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า สนพ. ได้ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกมาอย่างต่อเนื่องโดยพบว่า ราคาน้ำมันดิบยังคงผันผวนจากตลาดยังคงกังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้ว 0.01 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 35.67 บาท ทำให้ต้นทุนน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 0.23 บาทต่อลิตร และต้นทุนน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 1.30 บาทต่อลิตร ส่งผลต่อค่าการตลาดเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของน้ำมันกลุ่มเบนซิน และดีเซลอยู่ที่ระดับ 1.58 บาท/ลิตร ขณะที่ฐานะกองทุนน้ำมัน ณ วันที่ 21 ส.ค.ติดลบ 118,010 ล้านบาท

ขณะที่นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยภาพรวมการใช้น้ำมันเฉลี่ย 7 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ค.) ว่า การใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 151.04 ล้านลิตรต่อวัน ยังคงเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 13.5% จากมาตรการภาครัฐในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยเฉพาะการผ่อนคลายการเดินทางเข้า-ออกประเทศ การเปิดสถานบันเทิง การปรับลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีผลให้ความต้องการใช้เพิ่มขึ้นส่งผลให้การนำเข้าน้ำมันดิบ 7 เดือนแรกเฉลี่ยอยู่ที่ 1,031,582 บาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 14.5% มีมูลค่านำเข้ารวม 759,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่านำเข้า 373,139 ล้านบาทเนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกขยับสูงขึ้นอย่างมากจากวิกฤติการสู้รบรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงค่าเงินบาทที่อ่อนค่า

สำหรับการใช้น้ำมันปรากฏว่า มีการปรับเพิ่มขึ้นเกือบทุกประเภท ได้แก่ กลุ่มเบนซิน 7 เดือนแรก (ม.ค. -ก.ค.) เฉลี่ยอยู่ที่ 29.80 ล้านลิตรต่อวันเพิ่มขึ้น 2.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การใช้น้ำมันกลุ่มดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ 73.44 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 16.2% เป็นผลจากมาตรการช่วยเหลือโดยตรึงราคาให้ไม่เกิน 30-35 บาทต่อลิตร จนถึง ก.ย.นี้ สำหรับน้ำมันดีเซล บี 7 การใช้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 64.92 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 75.9% ส่วนการใช้น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) เฉลี่ยอยู่ที่ 7.59 ล้านลิตรต่อวันเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 69.5% เนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการการบินและการเดินทางเข้า-ออกประเทศทำให้มีการเดินทางเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ยังพบว่ามีการใช้ก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) เฉลี่ยอยู่ที่ 18.17 ล้านกิโลกรัม (กก.) ต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 9.4% โดยภาคขนส่งอยู่ที่ 2.13 ล้าน กก.ต่อวันเพิ่มขึ้น 23.6% ภาคปิโตรเคมี 8.27 ล้าน กก.ต่อวัน เพิ่มขึ้น 11.4% ภาคอุตสาหกรรม 2.03 ล้าน กก.ต่อวัน เพิ่มขึ้น 10.2% และภาคครัวเรือนเพิ่มอยู่ที่ 5.74 ล้าน กก.ต่อวัน เพิ่มขึ้น 2.2%.