ผมต้องเขียนต้นฉบับวันนี้ล่วงหน้า ก็เลยไม่ทราบว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในช่วงเช้าวันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคมบ้านเรา ซึ่งจะเป็นราคาช่วงค่ำวันศุกร์ของสหรัฐฯ ปิดลงด้วยบาร์เรลละกี่เหรียญ?
เพิ่มขึ้นหรือว่าลดลงจากวันก่อนหน้านี้ว่างั้นเถอะ
ถ้าจะใช้ราคาเมื่อช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ผ่านมาเป็นเกณฑ์ในการวิเคราะห์ล่วงหน้าไปก่อน...ก็พอจะบอกได้ว่า ตัวเลขราคาในวันดังกล่าวค่อนข้างน่าพอใจสำหรับประเทศที่ต้องซื้อน้ำมันมาใช้
ที่ตลาดนิวยอร์กราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ลดลงมาอีก 52 เซ็นต์ต่อ 1 บาร์เรล ปิดที่ 95 เหรียญ 78 เซ็นต์ ต่อ 1 บาร์เรล...ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบทะเลเหนือหรือเบรนท์ที่ลอนดอนก็ลดลงไป 47 เซ็นต์ต่อบาร์เรล ทำให้ราคาที่ลอนดอนอยู่ที่ 99 เหรียญ 10 เซ็นต์ ต่ำกว่า 100 เหรียญต่อไปอีกวันหนึ่ง
ถือว่าเป็นราคาที่แม้จะยังไม่ถูกนัก แต่ก็ยังไม่แพงมากจนเกินไป ดังเช่นในช่วงหลังเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครนเป็นต้นมา ที่บางครั้งราคาสูงขึ้นไปถึง 120-130 เหรียญ
ส่งผลให้ทั่วโลกซึ่งเกิดภาวะเงินเฟ้ออยู่แล้ว ต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงขึ้นจากความกดดันกระหน่ำซ้ำของราคาน้ำมัน
ขนาดสหรัฐอเมริกายังแถลงตัวเลขเงินเฟ้อของเดือนมิถุนายนเมื่อ 2 วันก่อนว่าสูงถึง 9.1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นอัตราที่สูงสุดในรอบ 41 ปี
สร้างความกังวลใจให้แก่นักวิเคราะห์ที่สหรัฐฯไปตามๆกันว่าธนาคารกลางสหรัฐฯอาจขึ้นดอกเบี้ยในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ แทนที่จะเป็น 0.75 เปอร์เซ็นต์อย่างที่คาดกันไว้
เพราะถ้าเฟดขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์จริงๆ ก็อาจจะนำไปสู่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างมีนัยสำคัญของสหรัฐฯ และเมื่อรวมกับมาตรการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางประเทศต่างๆทั่วโลกด้วย...เศรษฐกิจโลกก็น่าจะหดตัวลงในอัตราที่มากกว่าที่เคยคาดไว้
ดังนั้น การที่ราคาน้ำมันดิบลดลงมาในสัปดาห์นี้ จึงถือเป็นข่าวดีอันจะเป็นผลให้อัตราเงินเฟ้อของโลกลดลง โดยไม่ต้องขึ้นดอกเบี้ยสูงจนเกินไป
แต่ที่ยังน่าห่วงอยู่บ้างก็ตรงที่การลดราคาครั้งนี้ โดยเฉพาะเมื่อเช้าวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งเป็นราคาในวันอังคารของสหรัฐฯนั้นค่อนข้างจะลดลงมากอย่างผิดปกติ
จู่ๆ ที่นิวยอร์กลดพรวดเดียวถึง 8 เหรียญเศษ ที่ลอนดอนก็ 7 เหรียญกว่าๆ เกือบจะ 8 เหรียญต่อ 1 บาร์เรล
ทำให้คาดคิดไปได้ว่าเมื่อลดฮวบฮาบได้เช่นนี้ ถึงคราวขึ้นก็อาจจะขึ้นฮวบฮาบหรือขึ้นทีละมากๆได้อีกเช่นกัน
ต้องจับตาดูกันต่อไปครับ
นักเศรษฐศาสตร์บ้านเราที่อ่านเหตุการณ์ครั้งนี้แล้วสรุปในแง่ดี ก็คือท่านรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) หรือ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล 1 ใน “4 กุมาร” ที่ล้างมือในอ่างทองคำอำลายุทธจักรการเมืองกลับมาเป็นนักการธนาคารเต็มตัว และให้สัญญิงสัญญาว่าจะไม่กลับไปสู่การเมืองอีก
ดร.กอบศักดิ์มองว่า การที่ราคาน้ำมันโลกลดลงมาสู่จุดเริ่มต้นก่อนเกิดสงครามนั้น...ทำให้ราคาน้ำมันที่เป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งในการกดดันเงินเฟ้อโลกจนพุ่งขึ้นเรื่อยๆ ณ นาทีนี้เริ่มคลี่คลายลงบ้างแล้ว
“มาลุ้นกันว่าราคาน้ำมันโลกในครึ่งหลังของปีจะปรับขึ้นไปสูงเหมือนช่วงแรกของสงครามอีกรอบหรือไม่? หากไม่ขึ้นสูงไปเช่นเดิมโดยยังวิ่งอยู่ประมาณ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แรงกดดันเงินเฟ้อในประเทศต่างๆในครึ่งหลังของปีจะค่อยๆลดลง...สงครามของเฟดกับเงินเฟ้อ (ที่สหรัฐฯ) จะบริหารจัดการได้ง่ายขึ้น”
ดร.กอบศักดิ์ค่อนข้างเชื่อว่า สถานการณ์ตลาดน้ำมันโลกในช่วงครึ่งปีหลังจะต่างจากช่วงครึ่งแรกด้วยเหตุผล 2-3 ข้อ ที่ผมไม่มีเนื้อหาจะคัดลอกเอามาลงได้
เอาเป็นว่าผมเชื่อท่านก็แล้วกัน พร้อมกับภาวนาขอให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกไม่กลับมาขึ้นอย่าง “บ้าเลือด” อีกครั้งเหมือนห้วงเวลาที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันก็ฝากไปถึงบรรดาสินค้าต่างๆที่กำลังทยอยขึ้นราคาโปรดอดใจรออีกหน่อยตามคำขอของกระทรวงพาณิชย์ด้วยจะขอบคุณยิ่ง
เผื่อว่าราคาน้ำมันดิบโลกลดไปมากกว่านี้...ข้าวของต่างๆอาจไม่ต้องขึ้นราคาก็ได้ (โดยเฉพาะมาม่า อาหารขวัญใจคนจน...หากจะอึด ไว้อีกสักระยะหนึ่ง อาจไม่ต้องขึ้นราคาเลย และจะเป็นขวัญใจคนจน ไปตลอดกาล...ขอเอาใจช่วยนะครับ)
“ซูม”