เล็งต่ออายุลดภาษีดีเซล 2 เดือน กกพ.ฟังความเห็นขึ้นค่าเอฟทีงวดใหม่ครั้งแรก

คลังเล็งชง ครม.ต่ออายุมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน 5 บาท อีก 2 เดือน คาดเสียรายได้ 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ กกพ.เปิดฟังความเห็น 3 แนวทางขึ้นค่าไฟงวดใหม่เป็นครั้งแรก ชี้อาจขึ้นตั้งแต่ 93.43 สต.–1.39 บาท ส่วน กบน.ตรึงราคาดีเซล 34.95 บาทต่อลิตรอีกสัปดาห์

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยถึงการพิจารณาขยายระยะเวลาลดการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันว่า ยังอยู่ระหว่างพิจารณา ส่วนการขอกู้เงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากสถาบันการเงินนั้น อยู่ระหว่างการพิจารณาเช่นกัน แต่ยอมรับว่ามีความกังวลในเรื่องของสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากรมสรรพสามิตกำลังจัดทำแนวทางขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล คาดจะเสนอมากกว่า 1 แนวทาง เช่น ลด 5 บาทต่อลิตร ต่อไปอีก 2 เดือน หลังมาตรการปัจจุบันจะสิ้นสุดวันที่ 20 ก.ค นี้ เพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และช่วยเหลือสภาพคล่องกองทุนน้ำมันที่ติดลบแล้วกว่าแสนล้านบาท หาก รมว.คลังเห็นชอบ น่าจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้อย่างช้าสัปดาห์หน้า คาดจะสูญเสียรายได้ราว 20,000 ล้านบาท

ด้านนายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) กล่าวว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) วันที่ 11 ก.ค.65 ไม่ได้พิจารณาปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล เพราะราคาอยู่ในเกณฑ์ที่ยังดำเนินการได้ ทำให้สัปดาห์นี้ราคาขายปลีกยังคงอยู่ที่ 34.94 บาทต่อลิตร ส่วนฐานะกองทุนน้ำมันติดลบ 110,917 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันอุดหนุนราคาดีเซล 3.06 บาทต่อลิตร หากไม่มีการอุดหนุน ราคาจริงควรอยู่ที่ 38 บาทต่อลิตร

ส่วนนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า เดือน ก.ค.นี้จะกู้เงินเข้ากองทุนน้ำมันได้ โดยจะกู้ในสัดส่วน 50% ขณะที่จะมีเงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมัน รวมถึงเงินที่ใช้บริหารหนี้ต่างๆ สัดส่วน 25-30% และขอความร่วมมือ 6 โรงกลั่นน้ำมันให้นำส่งกำไรส่วนเกินเข้ากองทุนน้ำมันด้วย สำหรับการเรียกเก็บภาษีลาภลอย ต้องพิจารณาให้รอบคอบ โดยเฉพาะการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ภาษีดังกล่าว “การกู้เงินและการเก็บเงินจากโรงกลั่นมีทางออกแล้ว คาดจะได้ข้อสรุปในเดือน ก.ค.นี้ ผมจะชี้แจงอีกครั้งว่าที่ผ่านมาได้ดำเนินการอะไรไปบ้างในเรื่องนี้”

ขณะที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สัปดาห์นี้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะเปิดรับฟังความเห็นแนวทางการพิจารณาค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) งวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. ผ่านเว็บไซต์ www.erc.or.th เป็นครั้งแรก จากปกติต้องรอให้คณะกรรมการ (บอร์ด) กกพ. ประกาศ เพราะเห็นว่าราคาพลังงานโลกมีความผันผวนรวดเร็ว รุนแรง จึงจัดทำกรณีศึกษา 3 แนวทาง เพื่อรับฟังความเห็น ก่อนเสนอให้บอร์ด กกพ.พิจารณาเดือน ก.ค.นี้

สำหรับ 3 กรณี ได้แก่ 1.เรียกเก็บ 93.43 สตางค์ (สต.) ต่อหน่วย เพิ่มขึ้นตามต้นทุนค่าเชื้อเพลิง (เอฟเอซี) เดือน ก.ย.-ธ.ค. ที่เกิดขึ้นจริง 93.43 สต.ต่อหน่วย, 2.เก็บ 139.13 สต.ต่อหน่วย โดยบวกต้นทุนค่าไฟสะสมงวดที่ผ่านมา (เอเอฟ) 83,010 ล้านบาท แล้วเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าภายใน 1 ปี ทยอยปรับ 3 งวด งวดละ 45.70 สต.ต่อหน่วย และ 3.เก็บ 116.28 สต.ต่อหน่วย เพิ่มขึ้นตามเอฟเอซี บวกกับเงินเอเอฟ 83,010 ล้านบาท แล้วเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าภายใน 2 ปี ทยอยปรับ 6 งวด งวดละ 22.85 สต. ต่อหน่วย เพราะการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แบกภาระค่าใช้จ่ายค่าเอฟทีแทนประชาชน 100,000 ล้านบาท

ขณะที่นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นทั้งในปีนี้ และปีหน้า โดยปีนี้คาดขยายตัว 3.3% และปี 66 ขยายตัว 4.2% อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีความกังวล 2 เรื่อง คือ การท่องเที่ยวที่อาจได้รับผลกระทบอีก หากโควิดกลับมาระบาดหนักอีกครั้ง และเงินเฟ้อที่สูงขึ้นกว่าประมาณการ ซึ่งธปท.ต้องปรับดอกเบี้ยเข้าสู่ภาวะปกติ แม้กระทบ ครัวเรือนและภาคธุรกิจ แต่ถ้าปล่อยให้เงินเฟ้อขึ้นต่อเนื่อง จะกระทบหนักกว่า โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยเป็นพิเศษ.