ทองคำไทย ปี 68 นักลงทุนอาจฝันค้าง  ไปไม่ถึงบาทละ 5 หมื่นบาท  ดอลลาร์แข็งกดดัน รอจังหวะเข้าซื้อ

Investment

Gold

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ทองคำไทย ปี 68 นักลงทุนอาจฝันค้าง ไปไม่ถึงบาทละ 5 หมื่นบาท ดอลลาร์แข็งกดดัน รอจังหวะเข้าซื้อ

Date Time: 26 ธ.ค. 2567 09:09 น.

Video

โลกร้อน ทำคนจนกว่าที่คิด "คาร์บอนเครดิต" โอกาสในเศรษฐกิจโลกใหม่

Summary

  • ราคาทองคำปี 2568 อาจขึ้นไปแตะ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 50,000 บาทต่อบาททองคำ ได้ยากมากขึ้น เมื่อความเสี่ยงจากนโยบายการเงินสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า จากการเข้ามาของโดนัล ทรัมป์

Latest


ภาวะ “ตื่นทอง” เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2567 ที่ผ่านมา หลังราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากต้นปีที่ราคาต่างประเทศอยู่ที่ 2,063 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และราคาทองคำในประเทศอยู่ที่บาทละ 33,500 บาท ก่อนที่จะขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 2,785 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และราคาทองคำแท่งขึ้นไปที่ 44,400 บาทต่อบาททองคำ


ทำให้เกิดความหวังว่า ในปี 2568 ที่ราคาทองคำจะขึ้นไปทำสถิติที่ 3 พันดอลลาร์ หรือ 5 หมื่นบาทต่อบาททองคำได้หรือไม่ แต่หลังจาก Thairath Money ได้คุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านทองคำ กลับพบว่าอาจจะไม่เกิดขึ้นง่าย เพราะปัจจัยต่างๆ เปลี่ยนแปลง ทั้งนโยบายการเงินของสหรัฐที่ดอกเบี้ยอาจปรับลดลงน้อยกว่าที่คาดไว้ ส่งผลให้ราคาทองคำอาจต้องปรับฐานลง

จีนไล่เก็บทองคำดันราคาขึ้นต่อ 

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) เปิดเผยว่า ราคาทองคำในปี 2568 น่าจะปรับตัวขึ้นได้ต่อ โดยมองเป้าหมายที่ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และราคาทองคำในประเทศลุ้นบาทละ 5 หมื่นบาท


ทั้งนี้ CEO ของ YLG กล่าวว่าช่วงเดือน พ.ค. 2567 ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้หยุดการซื้อสะสมทองคำเพื่อเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ หลังจากที่ซื้อติดต่อกันมาตั้งแต่ปี 2564 เป็นระยะเวลา 18 เดือน อย่างไรก็ดีในช่วงที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้หยุดทำการสะสมทองคำ จากนั้นราคาทองคำก็ยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องสามารถขึ้นไปทำจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 2,790 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์


จนกระทั่งเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา ราคาทองคำได้สลับมาปรับฐานลง ส่งผลให้ PBOC ได้กลับเข้ามาซื้อทองคำอีกครั้ง หลังจากหยุดพักไปเป็นเวลา 6 เดือน โดยเข้าซื้อที่จำนวน 1.6 แสนทรอยออนซ์ ส่งผลให้มีทองคำสะสมอยู่ที่ 72.96 ล้านทรอยออนซ์ อ้างอิงข้อมูลจากสภาทองคำโลก (WGC) ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า PBOC ได้หยุดซื้อเมื่อราคาทองคำเริ่มปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับสูง และกลับมาเข้าซื้อเมื่อราคาเริ่มปรับลดลงมา จึงคาดว่า PBOC ไม่ได้มีนโยบายหยุดซื้อทองคำเพียงแต่รอจังหวะที่เหมาะสม และนับเป็นการยอมรับในระดับราคาดังกล่าวแล้ว


อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการเริ่มเข้าสะสมทองคำของธนาคารขนาดใหญ่เช่น จีน อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกอีกหลายแห่งดำเนินนโยบายตามรอย เนื่องจากการกระทำของ PBOC ครั้งนี้ อาจจะเป็นผลสืบเนื่องจากนโยบายกีดกันการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะตอบโต้กลุ่มประเทศที่ต่อต้านเงินดอลลาร์สหรัฐ จึงเป็นผลให้ประเทศที่ตกเป็นเป้านโยบายต้องทำการเคลื่อนไหวเพื่อสะสมสินทรัพย์ปลอดภัย ดังนั้นการที่นักวิเคราะห์จากธนาคารชั้นนำหลายแห่งตั้งเป้าหมายว่าปี 2568 ทองคำจะยังคงพุ่งไปถึงเป้าหมาย 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์นั้น จึงยังคงเป็นไปได้แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูงก็ตาม


ส่วนราคาทองคำในประเทศไทยนั้น YLG มองว่าปี 2568 จะมีโอกาสไปถึง 50,000 บาทต่อบาททองคำตามเดิม เนื่องจากไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯ จึงตกเป็นประเทศเป้าหมายที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะดำเนินการด้านนโยบายภาษีนำเข้า จึงอาจจะส่งผลให้ค่าเงินบาทของไทยปีหน้าเคลื่อนไหวไปในทิศทางอ่อนค่า และส่งผลดีต่อราคาทองคำในประเทศ

เปิดสถิติ ทองคำไม่เคยขึ้น 3 ปีติดต่อกัน

นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก ประเมินว่า  ทิศทางราคาทองคำในปี 2568 นั้นมองว่าจะไม่ใช่ขาขึ้นของราคาทองคำ เพราะตามสถิติของทองคำ ราคามักจะไม่ขึ้น 3 ปีติดต่อกัน นอกจากนี้นโยบายของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เดินหน้า American First ที่จะมีผลให้กับค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่ามากขึ้น จะกดดันต่อทิศทางราคาทองคำโดยตรง


“ปี 2568 ผลตอบแทนของทองคำเรามองว่าจะไม่เป็นบวก เพราะตามสถิติไม่มีปีไหนที่ขึ้น 3 ปีติดต่อกัน นอกจากนี้ การขึ้นดำรงตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะมีผลต่อค่าเงินดอลลาร์ให้แข็งค่ามากขึ้น”


ปัจจัยที่จะมีผลกับราคาทองคำในปี 2568 นั้นคือ การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะมีผลต่อนโยบายการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ ที่เดิมคาดว่า เฟดจะปรับลดดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ อาจจะเหลือเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น


ส่วนความไม่สงบในระหว่างประเทศ เช่นในยูเครน กับ รัสเซีย และอิสราเอลยังเป็นปัจจัยที่รองลงมา แต่หากมีความขัดแย้งใหม่เกิดขึ้น อาจเป็นปัจจัยที่กดดันกับภาพรวมของตลาดได้


อย่างไรก็ตามมองกรอบราคาทองคำในปี 2568 จะอยู่ที่ 2,430 - 2,730 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในขณะที่ราคาทองคำในประเทศจะอยู่ที่บาทละ 42,100 - 44,000 บาทต่อบาททองคำ โดยผู้ที่มีทองคำอยู่แนะนำทยอยขายทำกำไร ส่วนผู้ที่สนใจเข้าลงทุนทองคำ ให้รอจังหวะในการอ่อนตัวลง


บาทละ 50,000 บาทอาจใช้เวลา 3 ปี


เอกราช ศรีศุภวิชากิจ ผู้อำนวยการอาวุโส และผู้บริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจดิจิทัลและออนไลน์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า การลงทุนในทองคำปี 2568 นั้น เป็นปีที่น่าสนใจ โดยจะเห็นว่าช่วงที่ผ่านมาราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก หลักๆ มาจากแต่ละประเทศต้องการสร้างความน่าเชื่อถือของค่าเงินตนเองในการค้าโลก ทั้งการแข่งขันด้านเศรษฐกิจและนโยบายการเงินระหว่างจีนและสหรัฐฯ รวมถึงการจัดตั้งกลุ่มบริกส์ (BRICS) ทำให้มีแรงซื้อขนาดใหญ่จากธนาคารกลางในประเทศต่างๆ


อย่างไรก็ตาม หากราคาทองคำสามารถยืนได้ที่ระดับ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ประเมินเชิงเทคนิคัลในระยะกลาง 1-3 ปี ราคาทองคำโลกมีโอกาสปรับตัวขึ้น แตะที่ระดับ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนราคาทองคำไทยมีโอกาสไปถึง 50,000 บาทต่อบาททองคำ บนสมมุติฐานค่าเงินบาทเฉลี่ยย้อนหลัง 20 ปี (ไม่นับรวมวิกฤติต้มยำกุ้ง) ที่ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ


สำหรับนักลงทุนที่มีทองคำอยู่ในพอร์ตแนะนำให้ถือต่อได้ แต่หากยังไม่มีทองคำแนะนำให้รอราคาย่อตัวเพื่อหาจังหวะเข้าซื้อ


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ